ไสยศาสตร์ :ความจริงที่ซ่อนเร้นในสังคมไทย ?

สภาวะที่สังคมกำลังคลั่งไคล้หลงไหลในเรื่องของไสยศาสตร์โดยไม่รู้ตัว คือไสยศาสตร์ได้แทรกเข้ามาในสังคมในทุกเรื่องราวของชีวิตของผู้คนในสังคมในรูปแบบต่างๆที่คนในสังคมไม่รู้ คือเข้าใจไสยศาสตร์เป็นเรื่องอื่นที่ไม่ใช่ไสยศาสตร์ http://winne.ws/n24666

2.1 พัน ผู้เข้าชม
ไสยศาสตร์ :ความจริงที่ซ่อนเร้นในสังคมไทย ?

บทความดี ๆ ที่น่าสนใจจากเฟซบุ๊ก Naga King เกี่ยวกับวันความเชื่อในสังคมไทย ที่คนหลายคนได้หลงวนในความเชื่อทางไสยศาสตร์ที่ยังคงซ่อนเร้นในทุกหนแห่งแม้แต่ในศาสนา พระพุทธศาสนาเองก็ปฏิเสธเรื่องไสยศาสตร์ แต่สิ่งนี้ซ่อนเร้นแทรกซึมเข้ามาได้อย่างไรในกลุ่มชาวพุทธ

ไสยศาสตร์ :ความจริงที่ซ่อนเร้นในสังคมไทย ?

@ วันนี้น่าจะเป็นประเด็นร้อนในทางพระพุทธศาสนาและกลุ่มคนที่มีความศรัทธาหรือความเชื่อในพระพุทธศาสนาแต่ก็แอบหลงไหลในเรื่องของไสยศาสตร์ เพราะบางครั้งนะครับเรื่องราวของไสยศาสตร์มันก็คือภาพรวมของระบบความเชื่อในสังคมไทย กล่าวคือ คนไทยเชื่อพระพุทธศาสนา 

แต่ในขณะเดียวกันก็เชื่อเรื่องอื่นๆไปด้วย เช่น โหราศาสตร์และไสยศาสตร์เป็นต้น หลายท่านยังคมหลงในเสน่ห์ของไสยศาสตร์ และไสยศาสตร์ก็มีอิทธิพลกับคนในสังคมไทยค่อนข้างมาก ถามว่าวัดจากอะไร วัดง่ายๆครับ 

(๑) วัดจากรายการทีวีที่ ๓๐ เปอร์เซ็นต์ของรายการที่วีเป็นรายการเกี่ยวกับไสยศาสตร์ (ไปเช็คดีนะครับ) 

(๒) วัดจากโปรแกรมภาพยนต์ที่สร้างมาช่วง ๑๐ ปี เรื่องไสยศาสตร์ขายได้ดีมากในสังคมบ้านเรา 

(๓) วัดจากสื่อโฆษณาเกี่ยวกับเครื่องรางของขลังในสังคมบ้านเรา มีวัตถุ เครื่องรางไสยศาสตร์เกินครึ่ง นอกนั้นเป็นพระเครื่อง ไปเช็คดูได้เลยถ้าไม่เชื่อผม 

(๔) วัดจากสำนักทรง สักยันต์ลงเลขลงกระดาน บ้านเราเมืองเรานี้มีมากมายผุดขึ้นยังกะดอกเห็ด 

(๕) วัดจากวงการโหราศาสตร์ที่แทรกตัวอยู่ในวงการไสยศาสตร์ หรือสองอย่างนั้นแทรกอยู่ในกันและกันตลอดเวลา เท่าที่เสนอมานี้ผมว่า การไม่ยอมรับว่าสังคมไทยบ้านเราเป็นสังคมไสยนิยมไปแล้วก็น่าจะได้

@ อะไรคือ ไสยนิยม ?

คำว่าไสยนิยมหรือไสยศาสตร์นิยม  ก็คือสภาวะที่สังคมกำลังคลั่งไคล้หลงไหลในเรื่องของไสยศาสตร์โดยไม่รู้ตัว คือไสยศาสตร์ได้แทรกเข้ามาในสังคมในทุกเรื่องราวของชีวิตของผู้คนในสังคมในรูปแบบต่างๆที่คนในสังคมไม่รู้ คือเข้าใจไสยศาสตร์เป็นเรื่องอื่นที่ไม่ใช่ไสยศาสตร์ เช่น 

เรื่องร่างทรง เรื่องสแกนกรรม หมอดูตาทิพย์ หมดสักยันต์ เป็นต้น พวกนี้จัดเป็นวิชาชีพสายไสยศาสตร์แทบทั้งหมด มันแล้วแต่ว่าเราจะนิยามหรือเราจะเข้าใจว่าอย่างไร แต่ความจริงมันก็คือ ไสยศาสตร์นั่นเอง ซึ่งสังคมบ้านเรายอมรับและยังหลงกับเรื่องเหล่านี้อยู่มาก

@ อะไร คือสิ่งที่ไม่ใช่ไสยศาสตร์นิยม ?

หลายคนคงจะถามผมว่าที่ว่าๆมานั้นมันคือไสยศาสตร์แล้วที่ไม่ใช่ไสยศาสตร์มันคืออะไร คำตอบคือที่ไม่ใช่ไสยศาสตร์ก็คือ พุทธศาสนาหรือพระพุทธศาสนานั่นไงครับ โดยสารัตถะของไสยศาสตร์ คือ 

(๑) ยอมรับการเข้าถึงสิ่งสูงสุดด้วยศรัทธาอย่างลึกซึ้ง เช่น การยอมรับว่า คาถาอาคมมีดีเพราะมีครูบาอาจารย์ 

(๒) ยอมรับความลึกลับซับซ้อน เพราะมันคือความขลัง 

(๓) ยอมรับเรื่องพิธีกรรมที่ยุ่งยากเพราะเป็นเครื่องหมายสื่อถึงครูบาอาจารย์ 

(๔) ยอมรับเรื่องพลังอำนาจที่จะเกิดจาก ก.การท่องคาถา ข.การประกอบพิธีกรรม ค.การระลึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ง.การตั้งจิตที่มุ่งถึงความสำเร็นในการ (๑)ปกป้อง (๒) ทำลาย ได้ ลักษณะดังกล่าวมานั้นเป็นลักษณะของไสยศาสตร์ 

ส่วนพุทธศาสนาผิดไปจากนั้น

ลักษณะของพระพุทธศาสนาคือ 

(๑)เข้าถึงพระรัตนตรัย คือพระพุทธพระธรรมและพระสงฆ์ว่าเป็นที่พึ่งอันสูงสุด 

(๒) ไม่ยอมรับความซับซ้อนแต่ทำทุกอย่างอย่างเปิดเผยตรวจสอบได้ 

(๓)ปฏิเสธิพิธีกรรมที่ยุ่งยากไม่ซับซ้อน 

(๔) ยอมรับเรื่องอานุภาพของพระรัตนตรัยจากการท่อง สวดพระพุทธมนต์เท่านั้น เพื่อความเมตตาต่อสรรพสัตว์ 

พระพุทธมนต์มุ่งถึงการคุ้มครองและเกื้อหนุนอนุเคราะห์ด้วยเมตตาจิต กล่าวโดยสรุปก็คือ พระพุทธศาสนาเน้นความเรียบง่าย ไม่คลุมเครือหรือโปร่ง สะอาด สะดวก และมีเมตตา แบบนี้ไม่ใช่ไสยศาสตร์

@ พระพุทธศาสนามีท่าทีต่อไสยศาสตร์อย่างไร ?

โดยหลักการพระพุทธศาสนาปฏิเสธความรู้แบบไสยศาสตร์ เพราะเป็นเรื่องที่ขวางทางแห่งปัญญานำพาผู้คนไปสู่ความหลงไม่ใช่อริยมรรคมีองค์ ๘ หรือเพื่อความเป็นสัมมาทิฏฐิ ดังนั้น โดยภาพรวมพระพุทธศาสนาจึงไม่เน้นหรือไม่ใส่ใจกับเรื่องของไสยศาสตร์ นี่ว่ากันโดยหลักการส่วนใครจะประยุกต์หรือนำไสยศาสตร์มาใช้ก็สุดแท้แต่ความประสงค์ของแต่ละบุคคล

@ ชาวพุทธไทยควรวางใจในเรื่องไสยศาสตร์อย่างไร ?

ผมว่าเอาที่พระพุทธเจ้าสอนก็แล้วกันว่า (๑)เราต้องเข้าถึงพระรัตนตรัยโดยวิถีทางแห่งชาวพุทธให้ได้

 (๒) เน้นหนักในเรื่องของการให้ทานรักษาศีลและเจริญภาวนาเป็นหลัก และ 

(๓) ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของไสยศาสตร์เป็นดีที่สุด เช่น ไปวัดมากกว่าที่จะไปสำนักสักยันต์หรือร่างทรง ปรึกษาพระที่มีความรู้ ศึกษางานของพระที่มีความรู้เรื่องพระพุทธศาสนา ดีกว่าไปหาหมอดูหรือไปหาที่พึ่งที่ไม่นำพาไปสู่การเรียนรู้และศึกษาธรรม

 (๔) ในด้านหนึ่ง ต้องศึกษาความจริงเกี่ยวกับไสยศาสตร์บ้างจากตำราเพื่อความรู้แต่ไม่ยึดติดเพื่อจะได้รู้ว่าที่เราไม่ไปยุ่งนั้นมันคืออะไร เวลาที่มีคนถามจะพอยังตอบได้บ้าง

Cr.Naga King


ขอบคุณภาพและบทความดี ๆ จาก

เฟซบุ๊กNaga King

แชร์