เทคโนโลยีAI อเมริกา จีน ใครเหนือกว่าใคร

เทคโนโลยีAI อเมริกา เหนือกว่าจีนอย่างชัดเจน แต่จีนมีข้อมูลมหาศาลเป็นเชื้อเพลิงขับเคลื่อน AI รัฐบาลจีนตั้งเป้าให้จีนเป็นผู้นำAI ในปี 2030 http://winne.ws/n24842

1.8 พัน ผู้เข้าชม

อีริค ชมิดท์ หนึ่งในบุคคลชั้นนำด้าน AI ของโลก ซึ่งเป็นอดีตซีอีโอกูเกิล และในวันนี้เป็นประธานอัลฟาเบทบริษัทแม่กูเกิล ให้สัมภาษณ์ช่วงปลายปี 2017 พูดถึงเรื่อง AI และการแข่งขันกับจีนไว้น่าสนใจมาก

“จีนได้ประกาศเมื่อช่วงกลางปี 2017 เกี่ยวกับยุทธศาสตร์ทางด้าน AI พูดให้เข้าใจง่ายๆ คือ ภายในปี 2020 จะตามอเมริกาทัน ภายในปี 2025 จีนจะดีกว่าอเมริกา ภายในปี 2030 จีนจะเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม AI ของโลก แล้วนี่เป็นสิ่งที่รัฐบาลเป็นผู้พูด!!!”

อเมริกาเป็นผู้คิดค้นและพัฒนา AI แต่ดูเหมือนทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนไป อีริค ชมิดท์ กล่าวยืนยันว่า..

“เชื่อผมซิ คนจีนเก่งจริง”

เมื่อเดือนเมษายน 2018 กูเกิลนำ AlphaGo ไปสาธิตในซี่ยงไฮ้ ใช้คอมพวิเตอร์ AI ที่เป็น Deep Learning ไปเล่นกับแชมป์โลกเกมหมากล้อมของจีนและสามารถเอาชนะได้หมด 

AlphaGo สามารถเล่นเกมหมากล้อมหรือโกะที่มีอายุนานกว่า 2500 ปี เรียนรู้เริ่มจากศูนย์โดยใช้เวลาฝึกฝนเพียง 7 วัน แต่สามารถเอาชนะผู้เล่นที่เก่งที่สุดในโลกได้

อีริค ชมิดท์ เน้นถึงเรื่องนี้ว่า..

“สิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่ง คือ ในวันที่แชมป์โลกแข่งกับ AI มีนักวิทยาศาสตร์และนักคอมพิวเตอร์ชั้นนำของจีนเกือบทั้งประเทศไปร่วมชมการแข่งขันด้วย ผมมีข้อสรุปของผมเองว่า พวกเขากำลังเรียนรู้เพื่อเอาไปใช้ในเชิงพาณิชย์และการทหาร”

“ถ้าใครยังปฏิบัติกับคนจีนเหมือนเป็นพลเมืองชั้นสองต้องบ้าแน่”

เทคโนโลยีAI อเมริกา จีน ใครเหนือกว่าใคร

“ยังมีตัวอย่างอีกเรื่องที่ทำให้เห็นภาพชัดเจนมากขึ้น ในการประกวดหาสุดยอดโปรแกรมเมอร์นักโคดของโลก คนเอเชียหรือพูดให้เจาะจงคือคนจีนมีแนวโน้มชัดเจนว่าจะเป็นผู้ชนะที่อยู่ในตำแหน่งสูงๆเป็นส่วนใหญ่ ถ้าใครยังสงสัยหรือมีอคติกับระบบการศึกษาของจีน รับรองว่า คิดผิด”

“อเมริกาไม่มียุทธศาสตร์ชาติที่ประกาศมาจากภาครัฐฯ ถ้าต้องการอยู่ในสภาพที่แข่งขันได้ ทั้งประเทศอเมริกาต้องลงมือทำงานร่วมกัน!!!”

ไคฟู ลี อดีตผู้บริหารระดับสูง แอปเปิล ไมโครซอฟท์ กูเกิล และเคยเป็นนายใหญ่กูเกิลประเทศจีน ซึ่งเป็นผู้นำทางด้าน AI ของโลกอีกคน มีประสบการณ์นานกว่าสามสิบปี ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับการแข่งขันด้าน AI ระหว่างจีนกับอเมริกา โดยเป็นการสัมภาษณ์กับ The New York Times เมื่อเร็วๆนี้ว่า....

“ถ้าดูแบบโดยรวมแล้ว มีโอกาส 50/50 ที่อเมริกาหรือจีนจะเป็นผู้นำ AI โลกในอนาคต”

ในปัจจุบัน อเมริกาและจีนมีสิ่งที่เหนือกว่ากันที่แยกเป็นเรื่องๆไป

“ถ้าเป็นอินเตอร์เน็ต AI จีนตามได้ทันอย่างรวดเร็วและกลายเป็นผู้นำแล้ว เพราะมีข้อมูลให้ใช้มากกว่า”

“สำหรับ AI ทางธุรกิจ อเมริกาจะเป็นผู้นำไปอีกนาน เพราะมีระบบดิจิตอลที่ก้าวหน้ากว่า ใช้กันมานาน”

“รถไร้คนขับและหุ่นยนต์ ตอนนี้ยังไม่รู้แน่ชัดว่า ใครจะมีเทคโนโลยีเหนือกว่า”

“อเมริกาเป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยี AI อย่างไม่ต้องสงสัย สุดยอดของคนที่ทำงานทางด้านนี้ 100 คน เป็นคนอเมริกัน 80 คน อาจมีคนจีนเพียง 2 คนเท่านั้น”

“แต่สิ่งที่เป็นข้อได้เปรียบด้าน AI ของจีน คือ ข้อมูลที่มีมหาศาล มีผู้ใช้โทรศัพท์มือถือมากกว่าอเมริกาสามเท่า โมบายเพย์เม้นท์มีการใช้กันอย่างแพร่หลายในประชาชนจีนมากกว่า 700 ล้านคน ตัวเลขมากกว่าอเมริกา 50 เท่า รถจักรยานแบ่งกันใช้มีมากกว่า 300 เท่า การส่งอาหารตามบ้านก็มากกว่า 10 เท่า”

ข้อมูลเปรียบเสมือนพลังงานที่ใช้ป้อนให้ AI ขับเคลื่อนอย่างมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

ในสภาพแวดล้อมของจีนไม่ค่อยมีใครหวงแหนเรื่องความเป็นส่วนตัว ยอมเอามันไปแลกกับความสะดวกสบายต่างๆ 

ไคฟู ลี ได้ชี้ให้เห็นความแตกต่างที่สำคัญอีกเรื่อง คือ ผู้ประกอบการจีนมีความกระหายความสำเร็จมากกว่า เป็นคนทำงานหนัก สู้ทุกรูปแบบ ทำงานแบบไม่มีวันหยุด ในขณะที่คนอเมริกันยังมีข้อจำกัดในเรื่องทรรศนะคติในการทำงานหนักอยู่มาก 

การสนับสนุนจากภาครัฐทั้งทางด้านการวิจัยและเงินทุนเป็นอีกปัจจัยที่เป็นข้อได้เปรียบของ AI จีน

จะเชียร์จีนหรืออเมริกาก็เลือกข้างกันได้ แต่ดูเหมือนเป้าหมายการเป็นผู้นำ AI โลกของจีนในปี 2030 เป็นการประกาศที่ค่อนข้างทำให้อเมริกันไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ 

สงครามการค้าที่เกิดขึ้นในวันนี้มีส่วนที่เกิดจากยุทธศาสตร์ชาติจีนในเรื่องนี้อยู่มาก 

อเมริกากำลังหาทางสกัดจีนอยู่ แต่ยังไม่มีใครรู้ว่า สุดท้ายแล้วใครจะเป็นผู้นำ AI ของโลกในอนาคต


โดย  Suttichai Taksanun

https://www.youtube.com/watch?v=HUNiR5Jv-HE&t=824s
https://www.youtube.com/watch?v=bE3AMnMpV_g&t=201s

แชร์