ระวัง!! "เปรตแบกแผ่นดิน" วิบากกรรม คนที่ชอบโกง รุกคืบ แย่งแผ่นดินผู้อื่น

ระวัง!! "เปรตแบกแผ่นดิน" วิบากกรรม คนที่ชอบโกง รุกคืบ แย่งแผ่นดินผู้อื่น http://winne.ws/n5906

2.3 หมื่น ผู้เข้าชม

เปรตแบกแผ่นดินที่มีไฟลุกโชนตลอดเวลา ร้อนระอุ วางก็ไม่ได้ ต้องแบกจนกว่าจะหมดกรรม

ระวัง!! "เปรตแบกแผ่นดิน" วิบากกรรม คนที่ชอบโกง รุกคืบ แย่งแผ่นดินผู้อื่น

ระยะนี้ มีข่าวมากมายหนาหู เกี่ยวกับเรื่องที่เจ้าหน้าที่ของรัฐได้พยายามสำรวจพื้นที่ต่าง ๆ มากมายทั้งที่ป่าสงวนและเขตพื้นที่ สปก. และยึดคืนที่ดินเหล่านั้นกลับคืนมา ไม่ว่าจะถูกกฎหมายหรือผิดกฎหมายหรือไม่ ทั้งพื้นที่ที่เป็นวัด เป็นพื้นที่ทำกินของราษฎรก็ตาม ดังที่มีกระแสข่าวออกมาเกือบทุกวันนั้น

พระสงฆ์องค์เจ้าตั้งแต่มหาเถรสมาคมลงมา ตลอดจนสมภารเจ้าวัดทั่วราชอาณาจักร ต่างก็กลัวว่า วัดและที่ดินของวัดจะถูกเบียดบังไป โดยอ้างความชอบธรรมทางกฎหมาย ท่านจึงแจ้งมติประชุมของมหาเถรสมาคมว่า จะจัดปฏิรูปที่ดินอื่นใดก็จัดไปเถิด กรุณาอย่าแตะที่วัดและที่ธรณีสงฆ์เลย โปรดได้ตัดข้อความและมาตราที่เกี่ยวกับที่วัด ธรณีสงฆ์ ศาสนสมบัติกลาง ออกไปเถิด

ปรากฏว่าข้อทักท้วงของคณะสงฆ์ได้รับสนองตอบเป็นอย่างดี ทำให้พระเถรานุเถระทั้งหลายโล่งอกตามๆ กัน ไม่ใช่โล่งอกที่ไม่ถูกยึดที่วัดและธรณีสงฆ์ดอกครับ โล่งอกที่ที่วัดไม่ได้ถูกเบียดบังเอาไปนั้นส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งโล่งอกที่ได้เห็นท่านผู้เกียรติในสภาไม่กลายเป็น “เปรตธรณีสงฆ์” หรือ "เปรตแบกแผ่นดิน" หลังตายแล้ว นับว่าเป็นความกรุณาของพระสงฆ์ท่าน

พระสงฆ์ที่ท่านมีเมตตากรุณาต่อสรรพสัตว์ทั้งปวง ท่านไม่ต้องการให้ใครตกนรกหมกไหม้เพราะทำบาปดอกครับ ในพระคัมภีร์มีกวีบทหนึ่งกล่าวความจริงข้อนี้ว่า “มารดารักบุตรสุดที่รักคนเดียว แต่พระรักคนทั้งโลก”

การถือเอาสมบัติของสงฆ์ ของพระศาสนา แม้น้อยนิด เป็นบาปมหันต์ ปู่ ย่า ตา ทวด จึงสอนลูกสอนหลานมิให้เอาของสงฆ์ ท่านจะเล่านิทานให้ลูกให้หลานฟัง ฟังแล้วก็ขนลุกด้วยความกลัว ความจริงนิทานเรื่องนี้มิใช่เรื่องแต่งขึ้น เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นสมัยพุทธกาล เห็นจะต้องเล่าเท้าความสักเล็กน้อย

เปรตแบกแผ่นดินที่มีไฟลุกโชนตลอดเวลา ร้อนระอุ วางก็ไม่ได้ ต้องแบกจนกว่าจะหมดกรรม

ระวัง!! "เปรตแบกแผ่นดิน" วิบากกรรม คนที่ชอบโกง รุกคืบ แย่งแผ่นดินผู้อื่น

หลังจากตรัสรู้แล้ว พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมให้ปัญจวัคคีย์จนได้บรรลุมรรคผล ทรงบวชให้ปัญจวัคคีย์แล้ว ยสกุลบุตรลูกเศรษฐีเมืองพาราณสีพร้อมทั้งเพื่อนๆ อีกกว่าห้าสิบคนก็มาบวชเป็นสาวก แล้วพระพุทธองค์ได้ส่งพระอรหันต์สาวกจำนวน 60 รูป ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนายังดินแดนต่าง ๆ พระองค์เองเสด็จมุ่งหน้าไปยังเมืองราชคฤห์ ทรงแสดงธรรมโปรดชฎิล (นักบวชสามพี่น้อง) พร้อมบริวาร ทรงบวชให้ท่านเหล่านั้นแล้ว ทรงแสดงธรรมโปรดพระเจ้าพิมพิสารและประชาชนชาวเมืองราชคฤห์ ซึ่งเดิมนับถือชฎิลทั้งสามอยู่

พระเจ้าพิมพิสารได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน ถวายตนเป็นสาวกของพระพุทธองค์ ทรงอุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนาเป็นการใหญ่ ทรงสร้างวัดแห่งแรกขึ้นชื่อว่า “วัดพระเวฬุวัน” ปัจจุบันใครไปเยี่ยมซากเมืองราชคฤห์เก่า ยังเห็นบริเวณที่เคยเป็นวัดแห่งแรกนี้อยู่

วัดเวฬุวันเดิมเป็นป่าไผ่ที่มีกระแตชุกชุมเป็นพิเศษ และได้รับพระราชทานอภัยทานห้ามใครจับหรือยิงเป็นอันขาด กระแตเหล่านี้มี “พระคุณ” แก่พระเจ้าแผ่นดินเป็นพิเศษ โดยที่ครั้งหนึ่งหลังจากเสด็จกลับจากล่าสัตว์ พระราชาก็มาพักผ่อนใต้ร่มไผ่นอกเมือง ขณะทรงม่อยหลับไปพักใหญ่ก็สะดุ้งตื่นขึ้นเพราะเสียงร้องของเหล่ากระแต ทรงเห็นอสรพิษเลื้อยผ่านไป ก็ทรงเข้าใจว่า เหล่ากระแตพวกนั้นช่วยไล่อสรพิษซึ่งจะมากัดพระองค์หนีไป จึงสำนึกในบุญคุณของพวกมัน ได้พระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์จำนวนหนึ่งสำหรับซื้ออาหารเลี้ยงพวกกระแตเป็นประจำ ตั้งแต่นั้นป่าไผ่แห่งนี้จึงได้นามว่า “กลันทกนิวาปสถาน” (สถานที่ให้อาหารกระแต)

พระเจ้าพิมพิสารจะทำบุญถวายภัตตาหารแก่พระพุทธเจ้าและภิกษุสงฆ์เป็นประจำ อยู่มาคืนหนึ่งขณะทรงบรรทมหลับสนิท ก็พลันสะดุ้งตื่น เพราะได้ทอดพระเนตรเห็นสัตว์ทั้งหลายน่าเกลียดน่ากลัว รูปร่างแตกต่างกันบรรยายไม่ถูก แต่ละตัวก็แสดงอาการหิวโหยราวไม่ได้กินอาหารมาเป็นพันๆ ปี ยื่นมือออกมาร้องขอความช่วยเหลือกันเซ็งแซ่ ตื่นเช้าขึ้นพระองค์ก็รีบไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ทรงเล่าเรื่องให้พระพุทธองค์ฟัง

พระพุทธองค์ตรัสว่า “สัตว์เหล่านั้นคือเปรต รู้ว่าพระองค์ทรงบำเพ็ญกุศลให้ทาน ก็พากันมาขอส่วนบุญ”

“จะให้ทำอย่างไรพระเจ้าข้า” พระราชากราบทูลถาม

“มหาบพิตรก็จงทำบุญถวายทานแก่พระสงฆ์แล้วตั้งใจอุทิศส่วนบุญแก่เปรตเหล่านั้น” พระพุทธเจ้าตรัส

เปรตปากเท่ารูเข็ม ตัวใหญ่มาก มีหูใต้คาง เพราะเถียงพ่อแม่ ต่อว่าผู้ทรงศีล ทำหูทวนลมไม่ได้ยิน

“เปรตเหล่านั้นเป็นใคร เกี่ยวข้องกับข้าพระองค์อย่างไร” พระราชายังสงสัย

พระพุทธเจ้าตรัสว่า “เปรตเหล่านั้นในชาติก่อนอันไกลโพ้น เป็นญาติสนิทกับมหาบพิตร ได้ร่วมกันทำบุญถวายภัตตาหารแก่พระสงฆ์หมู่ใหญ่ พวกเขาได้ตระเตรียมข้าวปลาอาหารไว้มากมายเพื่อถวายแก่พระสงฆ์ ขณะที่พระสงฆ์ยังไม่มา บางคนก็เกิดความหิว จึงหยิบอาหารที่เตรียมไว้ถวายพระกินก่อน ด้วยบาปกรรมอันนี้ พวกเขาจึงเกิดเป็นเปรตประเภท “ปรทัตตูปชีวี” ต้องอาศัยอาหารที่คนอื่นอุทิศให้ยังชีพ บังเอิญว่าที่แล้วมา ไม่เคยมีใครอุทิศส่วนบุญให้พวกเขาเลย จึงหิวโหยผอมโซอย่างที่เห็นนั้นแหละ”

พระเจ้าพิมพิสารจึงทำบุญถวายภัตตาหารแก่พระสงฆ์อันมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขอีกครั้ง แล้วตั้งใจอุทิศส่วนกุศลให้พวกอดีตญาติๆ ทั้งหลายเหล่านั้น เปรตพวกนั้นได้รับส่วนบุญที่พระเจ้าพิมพิสารทรงอุทิศไปให้ ต่างมีหน้าสดชื่นเบิกบาน ตกดึกคืนหนึ่งจึงพากันมาขอบคุณพระเจ้าพิมพิสารกล่าวอนุโมทนาในบุญกุศลที่พระองค์ทรงบำเพ็ญแล้วก็หายวับในทันใด

นี้คือที่มาแห่งการทำบุญกรวดน้ำในพระพุทธศาสนา 

ถามอีกว่า การกรวดน้ำนี้ เคยมีมาไหม คือก่อนเกิดพระพุทธศาสนา เคยมีการทำอะไรคล้าย ๆ นี้ไหม ตอบอีกว่าเคยครับ เท่าที่ทราบมีมานานแล้ว คงจะเป็นวิธีปฏิบัติของคนอินเดียโบราณ

ดังในพระเวสสันดรชาดก ตอนพระเวสสันดรให้พระนางมัทรี พระชายาเป็นทานแก่พราหมณ์แปลง (พระอินทร์แปลงเป็นพราหมณ์มาขอ) ทันที่จะตัดสินใจมอบให้ พระเวสสันดรก็หยิบคนโทน้ำหลั่งลงในมือของพราหมณ์ เป็นสัญลักษณ์ว่ามอบให้เด็ดขาด

สรุปว่าการกระทำมีการรินน้ำคล้ายกัน แต่จุดมุ่งหมายแห่งการกระทำไม่เหมือนกัน จะว่าการกรวดน้ำมีรากฐานมาจากการรินน้ำหลังจากให้สิ่งของเป็นทานแท้ ๆ คงพูดไม่ได้

เปรตท้องโต ตอนมีชีวิตคอรัปชั่น กินหินปูนทราย เงินทองบนโต๊ะใต้โต๊ะ ในท้องมีแต่หินปูนทรายหนักมาก ๆ

ระวัง!! "เปรตแบกแผ่นดิน" วิบากกรรม คนที่ชอบโกง รุกคืบ แย่งแผ่นดินผู้อื่น

ทีนี้มาพูดถึงเรื่องเปรต คำว่า “เปรต” ภาษาบาลีเขียน เปต แปลตามตัวว่า “ผู้ล่วงลับไปแล้ว” คือผู้ที่ตายแล้ว ใช้เป็นคำกลาง ๆ หมายถึงคนที่ตายไปแล้ว ไม่ว่าตายดี ตายไม่ดี ไม่ว่าคนดี คนชั่ว เมื่อตายแล้ว และผลบาปทำให้เกิดเป็นเปรต ก็เรียกว่า “เปรต” เหมือนกันหมด แต่เปรตมีทั้งหมด 12 ตระกูล แต่มีเพียง 1 ตระกูลเท่านั้นที่รับผลบุญที่อุทิศให้ได้ อีก 11 ตระกูลยังรับไม่ได้

ปรทัตตูปชีวี เปรตที่ต้องอาศัยผลบุญที่มีคนอุทิศให้ ไม่มีปัญญาหากินเอง ถึงจะพยายามหาอาหารกินก็คงไม่ได้ เพราะผลกรรมบันดาลให้เขาต้องอดอยากปากหมอง ทุกข์ทรมาน พวกนี้ถึงอยากกินก็ไม่ได้กิน เพราะฉะนั้นท่านจึงมีสัญลักษณ์ให้รู้ว่า มีปากเท่ารู้เข็ม มีพุงโตเหมือนภูเขา คืออยากมาก แต่กินไม่ได้เพราะปากมันเล็ก

ถามว่า คนทำบาปกรรมอะไรจึงมาเกิดเป็นเปรต พระคัมภีร์กล่าวไว้หลายประเภท คนที่ยักยอกเอาของสงฆ์ตายไปก็เกิดเป็นเปรต ผู้ดูแลเงินทองของวัด แรกๆ ก็คงไม่คิดอะไร พอนานเข้าก็โลภอยากได้ แพ้ต่อมโนธรรมของตนก็ยักยอกเอามาเป็นของตนเสีย ตายไปไม่แคล้วเป็นเปรต หรือแม้กระทั่งการรุกหรือการแย่งที่ดินของคนอื่น ที่ไม่ใช่ของตน ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ก็อาจจะได้ไปเกิดเป็นเปรตแบกแผ่นดินที่มีไฟลุกร้อนท่วมอยู่ยาวนาน ทุกข์ทรมาน ก็ได้

มีเรื่องจริงเขาเล่าให้ผมฟังนานแล้ว เจ้าหน้าที่วัดแห่งหนึ่ง เอาเงินวัดไปเข้าแบงก์กินดอกเบี้ย เงินยังอยู่แต่ดอกเบี้ยได้เท่าไรแกเอามาเป็นของตัวหมด อยู่มาวันหนึ่งแกป่วยหนักด้วยโรคประหลาด คือขี้ไหลตลอด กินอะไรลงไปก็ไหลออกหมด จนกระทั่งตาย ก่อนตายแกเพ้อคล้ายสั่งลูกหลานว่า “ใช้ดอกเบี้ย ๆ” แล้วก็สิ้นลม

ลูกหลานก็ไม่ทราบว่าแกสั่งลาอะไร ดอกเบี้ยอะไร พอสมภารท่านทราบ ท่านก็ไม่ว่าอะไร สั่งให้ลูกหลานทำสังฆทาน สั่งให้ใส่ปัจจัย (เงิน) เท่าจำนวนที่ท่านคิดว่าเป็นดอกเบี้ยธนาคารที่แกเอาไป โดยที่ลูกหลานไม่ทราบ

อ้างอิงจาก : ข้อความเรียบเรียงโดย อ.เสถียรพงษ์ วรรณปก

ขอบคุณภาพจาก www.dmc.tv / www.Dek-Dee.com

แชร์