รู้อย่างนี้ ไม่พลาด!! "ทอดกฐิน" ทุกปี เห็นผลบุญทันตา.. ตั้งแต่สมัยพุทธกาล
รู้อย่างนี้ ไม่พลาด!! "ทอดกฐิน" ทุกปี เห็นผลบุญทันตา ประเพณีที่เกิดจากพุทธประสงค์ ซึ่งทำยากมาก ๆ มีข้อจำกัดถึง 6 ข้อ จึงได้บุญมาก เป็นประเพณีอันดีงามของพุทธศาสนิกชน ที่ประพฤติปฏิบัติ สืบต่อกันมาเป็นเวลายาวนานกว่า 2500 ปี http://winne.ws/n6517
รู้อย่างนี้ ไม่พลาด!! "ทอดกฐิน" ทุกปี เห็นผลบุญทันตา.. ตั้งแต่สมัยพุทธกาล
ประวัติ "ประเพณีการทอดกฐิน" และ "อานิสงส์การทอดกฐิน" ทันตาเห็น ประเพณีที่เกิดมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล
"การทอดกฐิน" เป็นประเพณีอันดีงามของพุทธศาสนิกชน ที่ประพฤติปฏิบัติ สืบต่อกันมาเป็นเวลายาวนานกว่า 2500 ปี กำเนิดขึ้นครั้งแรกเมื่อพระภิกษุ ชาวเมืองปาไฐยรัฐ เดินทางไกลไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ วัดพระเชตวัน พระภิกษุเหล่านั้นมีจีวรที่เปรอะเปื้อน เปียกชุ่ม และเปื่อยขาดด้วยความเก่า พระบรมศาสดาจึงมีพุทธานุญาตให้พระภิกษุ ผู้อยู่จำพรรษา รับผ้ากฐินเพื่อนำมาผลัดเปลี่ยนผ้าเก่าได้หลังออกพรรษา การทอดกฐินจึงเป็นการทำบุญที่เกิดจากพุทธประสงค์
มหากฐินบุญใหญ่แห่งปี
"มหากฐิน" คือ กฐินสามัคคีที่เกิดจากการร่วมแรงร่วมใจกันของพุทธศาสนิกชนที่มีความศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา และตระหนักถึงอานิสงส์อันยิ่งใหญ่ของการทอดกฐิน
การทอดกฐินถือเป็นบุญใหญ่แห่งปีที่ทุกคนรอคอย เพราะเป็นบุญพิเศษที่ทำได้ยากกว่าบุญอื่น เนื่องจากมีข้อจำกัดอย่างน้อย 6 ประการดังนี้
1. จำกัดกาลเวลา คือ ต้องถวายภายใน 1 เดือน นับแต่ออกพรรษา
2. จำกัดชนิดของทาน คือต้องถวายเป็นสังฆทานเท่านั้น จะถวายเฉพาะเจาะจงภิกษุรูปหนึ่งรูปใด เหมือนทานอย่างอื่นไม่ได้
3. จำกัดคราว คือ แต่ละวัดรับกฐินได้เพียงปีละ 1 ครั้งเท่านั้น
4. จำกัดผู้รับ คือ พระภิกษุผู้รับกฐินได้ จะต้องจำพรรษาที่วัดนั้น ครบไตรมาส (3 เดือน) และต้องมีจำนวนตั้งแต่ 5 รูปขึ้นไป
5. จำกัดงาน คือเมื่อพระภิกษุรับผ้ากฐินแล้ว จะต้องกรานกฐินให้เสร็จภายในวันนั้น
6. จำกัดของถวาย คือ ไทยธรรมที่ถวายต้องเป็นผ้าผืนใดผืนหนึ่งในไตรจีวรเท่านั้น (โดยทั่วไปนิยมใช้สังฆาฏิ)
นอกจากนี้ กฐินยังเป็นทานที่พิเศษ คือ ทั้งพระภิกษุและญาติโยมผู้ทอดกฐินได้อานิสงส์ด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย
"บุคคลใดให้ทานด้วยตนเอง และชักชวนผู้อื่นให้ทำด้วย บุคคล เช่นนี้ ไปเกิดที่ใด ย่อมได้ทั้งโภคทรัพย์สมบัติและบริวารสมบัติ ในที่ที่ตนไปเกิดนั่นเอง" พุทธพจน์
อานิสงส์การทอดกฐิน ทันตาเห็น
อตีเต กาเล ในสมัยครั้งพุทธกาล นายติณบาล เป็นคนยากจนอาสาเป็นลูกจ้างทำสวนหญ้าให้เศรษฐีทำหน้าที่ตัดหญ้าที่บริเวณบ้านเป็นประจำ อยู่มาวันหนึ่ง เขาคิดว่า เรานี้เป็นคนยากจน เพราะไม่เคยทำบุญใดไว้ในชาติก่อนเลย เกิดมาชาตินี้จึงเป็นคนรับใช้ไร้ญาติขาดมิตร ไม่มีสมบัติอะไรติดตัวแม้แต่น้อย
เมื่อเขาคิดดังนี้แล้ว เขาจึงแบ่งอาหารที่ได้รับจากการรับจ้างแต่ละเดือนออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งเอาไว้ถวายแก่พระสงค์ที่บิณฑบาต อีกส่วนหนึ่งเก็บไว้บริโภคเอง
อยู่ต่อมาพอถึงเทศการออกพรรษา เหล่าชนผู้มีศรัทธาต่างพากันทำบุญทอดกฐินเป็นการใหญ่ แม้เศรษฐีผู้เป็นนายเขาก็เตรียมการจะทอดกฐินเช่นกัน จึงได้ประกาศให้สาธารณะชนทราบทั่วไป เมื่อนายติณบาลได้ยินการประกาศ ก็เกิดความเลื่อมใสขึ้นในใจทันที คิดในใจว่ากฐินนี้แหละจะเป็นทานอันประเสริฐ จึงเข้าไปพูดกับเศรษฐีผู้เป็นนายว่า อยากจะร่วมอนุโมทนากฐินทานครั้งนี้ด้วย แต่ตัวเองไม่มีเงินติดตัวเลย จึงคิดอยู่นาน
ในที่สุดเขาได้เปลื้อง (ถอด) ผ้านุ่งของตนออกทำความสะอาดแล้วพับอย่างดี ส่วนตัวเองนำเอาใบไม้มาเย็บนุ่งแทนผ้าแล้วนำผ้าฯ เที่ยวเร่ขายไปตามร้านตลาด หมู่ชนเห็นเขานุ่งใบไม้ก็พากันหัวเราะต่าง ๆ นา ๆ นายติณบาลจึงชูมือขึ้นกล่าวว่า "พวกท่านทั้งหลายจงหยุดก่อน อย่าหัวเราะข้าพเจ้าเลย ข้าฯ ยากจน ไม่มีผ้าจะนุ่ง จะขอนุ่งใบไม้แต่ในชาตินี้เท่านั้น ชาติหน้าเราจะนุ่งผ้าอันเป็นทิพย์" เขาขายผ้าได้ห้ามาสก (1 บาทของเราในปัจจุบัน) แล้วนำเงินดังกล่าวมาร่วมอนุโมทนาทอดกฐินกับเศรษฐีผู้เป็นนาย
ขณะนั้นได้เกิดการโกลาหลทั่วไปในหมู่ชนตลอดถึงเทวดาในชั้นฉกามาวจรสวรรค์ ติณบาลมีฐานะร่ำรวยอย่างไม่มีใครคาดคิด บั้นปลายของชีวิตเขาได้รับตำแหน่งเป็นเศรษฐีอยู่จนมีอายุขัย ก็ถึงแก่กรรมไปเกิดเป็นเทพบุตรในชั้นดาวดึงส์สวรรค์ เสวยสมบัติทิพย์อยู่ในวิมานแก้วสูงได้ห้าโยชน์ มีนางอัปสรหนึ่งพันแวดล้อมเป็นบริวาร (ทำบุญด้วยความเลื่อมใสมาก ถึงทรัพย์จะมีน้อยก็ได้บุญมาก)
ที่มา : http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=285320.0;wap2