อัศจรรย์!! มูลค่านับพันล้านบาทต่อปีกับขยะรีไซเคิลโดยมูลนิธิพุทธฉือจี้ Taiwan
มูลนิธิฉือจี้ เป็นองค์กรการกุศลที่ใหญ่ที่สุดในไต้หวัน มีโรงพยาบาลที่มีมาตรฐานสูงติดอันดับต้น ๆ ของประเทศถึง ๖ แห่ง มีธนาคารไขกระดูกใหญ่เป็นอันดับ ๓ ของโลก มีความดีเป็นพลังขับเคลื่อนให้เกิดงานสร้างสรรค์ส่งผลกระทบผู้คนนับล้านทั่วโลก http://winne.ws/n7734
ภาพของท่านธรรมาจารย์เจิ้งเหยียน และสมณารามจิ้งซือ
มูลนิธิฉือจี้
เป็นองค์กรการกุศลที่ใหญ่ที่สุดในไต้หวัน มีโรงพยาบาลที่มีมาตรฐานสูงติดอันดับต้น ๆ ของประเทศถึง ๖ แห่ง มีธนาคารไขกระดูกใหญ่เป็นอันดับ ๓ ของโลก มีสถาบัน การศึกษาที่ครบทุกระดับจากประถม มัธยม วิทยาลัย ไปจนถึงมหาวิทยาลัย ที่มีเอกลักษณ์ในด้านการสอนและการจัดกระบวนการเรียนรู้ มีสถานีโทรทัศน์ที่มุ่งเผยแพร่คุณธรรมผ่านเครือข่ายทั่วโลก หัวใจของความสำเร็จ บริหารจัดการ มูลนิธิฉือจี้
มูลนิธิฉือจี้
ถือกำเนิดเมื่อปี ๒๕๐๙ โดยภิกษุณีเจิ้งเหยียนวัย ๒๙ ปี (พรรษา ๓) เริ่มต้นด้วยการเชิญชวนแม่บ้านในเมืองห่างไกลความเจริญ (ฮวาเหลียน) จำนวน ๓๐ คน สละเงินทุกวัน ๆ ละ ๕๐ เซ็นต์ ( เทียบเท่ากับ ๒๕ สตางค์ในเวลานั้น) ภายในเวลา ๒๐ ปีสามารถสร้างโรงพยาบาลขนาด ๑,๐๐๐ เตียงด้วยทุนสูงถึง ๘๐๐ ล้านเหรียญไต้หวัน (ขณะที่งบประมาณประจำปีของทั้งจังหวัดมีเพียง ๑๐๐ ล้านเหรียญ) อีก ๒๐ ปีต่อมา สามารถขยายกิจการสู่งานด้านการศึกษา สิ่งแวดล้อม สื่อมวลชน และพัฒนาจากองค์กรการกุศลระดับจังหวัด ไปเป็นระดับชาติ และระดับโลกได้ โดยมีสมาชิกถึง ๑๐ ล้านคน และสาขาใน ๓๙ ประเทศ
หัวใจสำคัญ
ก็คือกำลังคนที่มีคุณภาพ บุคลากรเหล่านี้ไม่ได้อาศัยเงิน ชื่อเสียง อำนาจ หรือผลประโยชน์ส่วนตนเป็นแรงขับเคลื่อนอย่างธุรกิจเอกชนหรือหน่วยงานรัฐ แต่อาศัยคุณธรรมหรือความดีเป็นแรงบันดาลใจ ซึ่งทำให้เห็นเป็นแบบอย่างว่า แม้ไม่ใช้ผลประโยชน์ส่วนตนหรือตัณหาเป็นแรงจูงใจ องค์กรอย่างฉือจี้ก็สามารถสร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณภาพระดับชาติหรือระดับโลกได้ไม่แพ้บรรษัทข้ามชาติ โดยก่อให้เกิดคุณประโยชน์ต่อมวลมนุษย์มากกว่าอย่างเทียบกันไม่ได้
ประติมากรรมหมู่ นำโดยท่านธรรมาจารย์เจิ้งเหยียน ที่บริเวณหน้าพิพิธภัณฑ์ฉือจี้ ที่ฮั่วเหลียน
การใช้ความดีเป็นพลังขับเคลื่อนให้เกิดงานสร้างสรรค์จำนวนมาก และส่งผลกระทบต่อผู้คนนับล้าน ๆ ทั่วโลก
โดยเริ่มต้นจากคนเล็กคนน้อยเพียง ๓๐ คน และเงินบริจาควันละ ๕๐ เซนต์ เป็นเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้ แต่ก็เกิดขึ้นแล้ว จะเรียกว่าเป็นเรื่องอัศจรรย์ ก็คงไม่ผิด สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ ลำพังเจตนาดีย่อมไม่เพียงพอ แต่ต้องอาศัยความสามารถอย่างมาก ความสามารถที่สำคัญอย่างยิ่งก็คือ การดึงเอาความดีจากแต่ละคนออกมา และนำมารวมกันให้มากพอจนเกิดพลัง ขณะเดียวกันก็รักษาความดีนั้นให้คงอยู่ และพัฒนาให้เพิ่มพูนมากขึ้น กระบวนการเหล่านี้ อาจเรียกได้ว่า “การจัดการความดี”
ปัจจุบันมีการพูดถึงการจัดการเงินทุน การจัดการบุคลากร การจัดการทรัพยากร รวมทั้งการจัดการความรู้
สิ่งหนึ่งที่ยังพูดถึงกันน้อยก็คือ การจัดการความดี จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการศึกษาอย่างลึกซึ้งในเรื่อง
*** ในเมื่อความดีนั้นมีพลังไม่น้อยไปกว่าเงินทุนและความรู้
*** การจัดการความดี ชนิดที่ควรพัฒนาเป็นศาสตร์และศิลป์
*** เรียนรู้ได้จากประสบการณ์จริง
มูลนิธิฉือจี้เป็นกรณีตัวอย่างหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในการจัดการความดี ซึ่งน่าที่คนไทยจะได้เรียนรู้และนำมาพัฒนาให้เหมาะกับสภาพความเป็นจริงของเราเอง
ภาพของท่านธรรมาจารย์เจิ้งเหยียน และสมณารามจิ้งซือ
กระบวนการกล่อมเกลาจิตใจ
การปลูกฝังคุณธรรมผ่านการทำงานอาสาสมัคร
*** การเคารพและเห็นคุณค่าของผู้อื่นผ่านการเรียนรู้ชีวิตของเขา
*** การบ่มเพาะความอ่อนน้อมถ่อมตนผ่าน พิธีชงน้ำชาหรือจัดดอกไม้
*** การมีกำลังใจทำความดีผ่านการแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้อื่น
*** การซึมซับความดีงามผ่านการเล่านิทาน เล่นละคร หรือวาดภาพ
*** รวมทั้งมีการฝึกฝนอาสาสมัครอย่างเป็นระบบ นอกจากนั้นยังมีระบบพี่เลี้ยง พ่อแม่อุปถัมภ์ และกลุ่มสมาชิกที่ช่วยสร้างเสริมจิตสำนึกที่ดีงาม
กล่าวได้ว่าฉือจี้มีความโดดเด่นมากในเรื่องความคิดสร้างสรรค์และศิลปะในการส่งเสริมคุณธรรม ประเด็นนี้จะได้กล่าวอย่างละเอียดข้างหน้า
การไม่รังเกียจงาน
บ่อยครั้งจะพบผู้บริหารบริษัทไปยืนถือกล่องรับบริจาคตามที่สาธารณะ หรือริดกิ่งไม้ เก็บกวาดขยะ ในโรงพยาบาล ความที่ฉือจี้มีอาสาสมัครจำนวนมากที่พร้อมจะทิ้งงานประจำ ออกไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยทันที
บรรลุเป้าหมายข้างต้น เขาจึงเน้นปลูกฝัง ๕ ด้าน คือ
๑. การดำเนินชีวิตประจำวันที่เรียบง่าย
๒. ฝึกให้เป็นผู้มีคุณธรรมในการใช้ชีวิตที่ถูกต้อง มีความรักในผู้อื่นเหมือนเป็นญาติพี่น้องร่วมครอบครัวเดียวกัน
๓. ให้รู้จักบริการผู้อื่นอย่างนอบน้อมถ่อมตน ให้เกียรติผู้อื่น
๔. ให้รู้จักขอบคุณสิ่งที่เกิดขึ้นและทุกสิ่งที่เข้ามาในชีวิต รู้จักสำนึกในบุญคุณของคนอื่นและสรรพสิ่งรอบตัว
๕. ให้มีทักษะที่จำเป็นในการดำรงชีวิตและการทำงานในอนาคต
พิพิธภัณฑ์ฉือจี้ที่ฮั่วเหลียน
งานอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
งานแยกขยะเป็นงานเด่นอีกด้านหนึ่งของฉือจี้ ที่ก่อให้เกิดผลกระทบอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากมีโรงงานแยกขยะไม่น้อยกว่า ๕,๐๐๐ แห่งทั่วประเทศ มีอาสาสมัครมาช่วยงานร่วม ๕๐,๐๐๐ คน โดยผลัดกันมาทำงานสม่ำเสมอตลอดปี ตั้งแต่
*** เก็บขยะ
*** ขนขยะมาโรงงาน
*** แยกขยะ
*** นำไปหมุนเวียนใช้ใหม่ งานด้านนี้นอกจากจะช่วยลดปริมาณขยะ (ด้านหนึ่งด้วยการทำให้ประชาชนทิ้งขยะน้อยลง และอีกด้านหนึ่งด้วยการเอาขยะที่ยังมีประโยชน์ไปรีไซเคิล ทำให้ขยะที่ใช้ประโยชน์ไม่ได้เลยเหลือน้อยลง)
*** เป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญของฉือจี้ นับพันล้านบาทต่อปี สามารถนำไปเป็นทุนสนับสนุนสถานีโทรทัศน์ของตนได้
งานสงเคราะห์ผู้ประสบภัย
เมื่อเกิดภัยพิบัติไม่ว่าในไต้หวันหรือต่างประเทศ กองทัพอาสาสมัครของฉือจี้จะรุดไปยังที่ประสบเหตุในทันที และให้การสงเคราะห์แก่ผู้ทุกข์ยากชนิดที่ตรงกับปัญหา เนื่องจากมีการสอบถามความต้องการของเขาก่อน และมักจะอยู่ในพื้นที่ค่อนข้างนานจนกว่าปัญหาพื้นฐานจะลุล่วง จึงมักเป็นหน่วยงานท้าย ๆ ที่ถอนตัวออกจากพื้นที่ ( ๖ เดือนหลังภัยสึนามิในศรีลังกา ฉือจี้เป็น ๑ ในไม่กี่หน่วยงานเอกชนที่ยังทำงานช่วยเหลือผู้ประสบภัยอยู่
ที่มา: http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=inthedark&month=15-08-2007&group=5&gblog=42
อ้างอิง : http://www.vitheebuddha.com/main.php?url=news_view&id=200&cat=C