จากชีวิตชาวไร่อ้อย : กลายเป็นโชติกเศรษฐี มีปราสาทเป็นแก้ว:ออกบวชแล้วสมบัติหายไปไหน?

จากชีวิตของชาวไร่อ้อย ในอดีต : ทำไม ? โชติกเศรษฐี จึงมีปราสาททำด้วยแก้ว ๗ ประการ : เมื่อออกบวชแล้วปราสาทนั้นหายไปไหน? เพราะเหตุใด ? http://winne.ws/n7910

2.2 พัน ผู้เข้าชม
จากชีวิตชาวไร่อ้อย : กลายเป็นโชติกเศรษฐี มีปราสาทเป็นแก้ว:ออกบวชแล้วสมบัติหายไปไหน?ขอบคุณภาพจาก www.kalyanamitra.org

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภพระโชติกเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "โยธ ตณฺหํ" เป็นต้น.

บุพกรรมที่ทำให้ได้ปราสาทแก้วและทรัพย์สมบัติมหาศาลกว่าพระราชาในยุคนั้น

        ในอดีตกาล กุฎุมพี ๒ คนพี่น้องในกรุงพาราณสี ยังชนให้ทำไร่อ้อยไว้เป็นอันมาก. ต่อมาวันหนึ่ง น้องชายไปยังไร่อ้อย คิดว่า "เราจักให้อ้อยลำหนึ่งแก่พี่ชาย ลำหนึ่งจักเป็นของเรา" แล้วผูกลำอ้อยทั้งสองลำในที่ ๆ ตัดแล้ว เพื่อต้องการไม่ให้รสไหลออก ถือเอาแล้ว. น้ำอ้อยสมัยนั้น เมื่อตัดลำอ้อยแล้วน้ำอ้อยจะไหลออกมาเอง ไม่ต้องหีบอ้อยแบบปัจจุบัน

         ก็ในเวลาที่เขาถือเอาลำอ้อยจากไร่เดินมา พระปัจเจกพุทธเจ้าที่ภูเขาคันธมาทน์ออกจากสมาบัติแล้ว ใคร่ครวญว่า "วันนี้ เราจักทำการอนุเคราะห์แก่ใครหนอแล?" เห็นเขาเข้าไปในข่าย คือญาณของตน และทราบความที่เขาเป็นผู้สามารถเพื่อจะทำการสงเคราะห์ได้ จึงถือบาตรและจีวรแล้ว มาด้วยฤทธิ์ ได้ยืนอยู่ข้างหน้าของเขา.

         เมื่อน้องชายได้ถวายน้ำอ้อยกับปัจเจกหมดแล้วก็อธิษฐานว่า  "ท่านขอรับ รสอันเลิศนี้ใดที่กระผมถวายแล้ว ด้วยผลแห่งรสอันเลิศนี้ กระผมพึงเสวยสมบัติในเทวโลกและมนุษยโลก ในที่สุดพึงบรรลุธรรมที่ท่านบรรลุแล้วนั่นแล." 

         พระปัจเจกพุทธเจ้าก็กล่าวว่า "ขอความปรารถนาที่ท่านตั้งไว้แล้ว จงสำเร็จอย่างนั้น" แล้วทำอนุโมทนาแก่เขาด้วย ๒ คาถาว่า "อิจฺฉิตํ ปตฺถิตํ ตุยฺหํ" เป็นต้น แล้วก็อธิษฐานโดยประการที่เขาจะเห็นได้ แล้วเหาะไปสู่เขาคันธมาทน์โดยทางอากาศ แล้วได้ถวายรส (อ้อย) แก่พระปัจเจกพุทธเจ้า ๕๐๐ รูป. 

        น้องชายเห็นดังนั้น ยิ่ง ปลื้มปิติใจมากขึ้น เมื่อกลับถึงบ้าน จึงเล่าให้พี่ชายฟัง พี่ชายก็เลื่อมใสศรัทธา อนุโมทนาบุญกับน้องชายและ ได้ตั้งความปรารถนาว่า "การบรรลุธรรมที่พระปัจเจกพุทธเจ้านั้นเห็นแล้วนั่นแหละ พึงมีแก่เรา." 

สองพี่น้องได้เกิดร่วมกันอีกในชาติต่อมา                              

        ชนทั้งสองนั้น ดำรงอยู่ตลอดอายุแล้ว เคลื่อนจากอัตภาพนั้นแล้วบังเกิดในเทวโลก ยังพุทธันดรหนึ่งให้สิ้นไป. ในเวลาชนทั้งสองนั้นไปสู่เทวโลกนั่นแหละ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่าวิปัสสี เสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลก. 

         พี่น้องทั้งสองแม้นั้น เคลื่อนจากเทวโลกแล้ว, ผู้พี่ชายก็คงเป็นพี่ชาย ผู้น้องชายก็คงเป็นน้องชาย ถือปฏิสนธิในเรือนแห่งตระกูลหนึ่งในพันธุมดีนคร. บรรดาเด็กทั้งสองนั้น มารดาบิดาได้ตั้งชื่อของผู้พี่ชายว่า "เสนะ" ของผู้น้องชายว่า "อปราชิต" 

สมัยพระวิปัสสี พุทธเจ้า  พี่ชายได้มีโอกาสฟังธรรม แล้วขอออกบวช

พี่ชายลาน้องชายออกบวชแล้วได้บรรลุพระอรหัต                              

          เขาไปสู่สำนักของน้องชายแล้ว กล่าวว่า "ทรัพย์สมบัติใด มีอยู่ในตระกูลนี้ ทรัพย์สมบัตินั้นทั้งหมด จงเป็นของเจ้า." 

               น้องชาย. ก็พี่เล่า? ขอรับ. 

               เสนกุฎุมพี. ฉันจักบวชในสำนักของพระศาสดา. 

               น้องชาย. พี่พูดอะไร? ฉันเมื่อมารดาตายแล้ว ก็ได้พี่เป็นเหมือนมารดา, เมื่อบิดาตายแล้ว ก็ได้พี่เป็นเหมือนบิดา ตระกูลนี้ก็มีโภคะมาก พี่ดำรงอยู่ในเรือนนี่แหละ ก็สามารถจะทำบุญได้. พี่อย่าทำอย่างนั้น. เมื่อพี่ชายบวชแล้ว ก็แนะนำให้น้องชายสร้างพระคันธกุฎีถวายพระพุทธเจ้า

จากชีวิตชาวไร่อ้อย : กลายเป็นโชติกเศรษฐี มีปราสาทเป็นแก้ว:ออกบวชแล้วสมบัติหายไปไหน?ขอบคุณภาพจาก www.youtube.com

น้องชายสร้างพระคันธกุฎีถวายพระศาสดา                              

          น้องชายนั้นรับคำกับพระพี่ชายว่า "สาธุ" แล้วยังชนให้นำไม้ต่าง ๆ มาแล้วให้ถากเพื่อประโยชน์แก่ทัพสัมภาระทั้งหลายมีเสาเป็นต้น ให้ทำเสาทั้งหมด ให้ขจิตด้วยแก้ว ๗ ประการ คือต้นหนึ่งขจิตด้วยทองคำ ต้นหนึ่งขจิตด้วยเงิน ต้นหนึ่งขจิตด้วยแก้วมณีเป็นต้น แล้วให้สร้างพระคันธกุฎีด้วยเสาเหล่านั้น ให้มุงด้วยกระเบื้องสำหรับมุงอันขจิตด้วยแก้ว ๗ ประการเหมือนกัน. 

         ก็บานหน้าต่างใหญ่ ๓ บาน ที่สำเร็จด้วยแก้ว ๗ ประการ ได้มีแล้วในพระคันธกุฎี. อปราชิตคฤหบดีให้สร้างสระโบกขรณี ๓ สระ ที่ โบกด้วยปูนขาว ณ ภายใต้ที่ตรงบานหน้าต่างเหล่านั้น ให้เต็มด้วยน้ำหอม อันเกิดแต่ชาติทั้ง ๔ แล้วให้ปลูกดอกไม้ ๕ สี ให้ย่อยบรรดาแก้ว ๗ ประการ แก้วที่ควรแก่ความเป็นของที่จะพึงย่อยได้แล้วถือเอาแก้วนอกนี้ทั้งหมดทีเดียว โปรยรอบพระคันธกุฎีโดยถ่องแถวเพียงเข่า ยังบริเวณให้เต็มแล้ว.

         เมื่อสร้างเสร็จแล้ว น้องชายเข้าไปกราบเรียนพระพี่ชาย พระพี่ชายจึงกราบทูลเสด็จพระพุทธเจ้าเข้าพระคันธกุฎีนั้น เพื่อให้น้อยชายได้บุญจากการใช้สอยพระคันธกุฎี

เมื่อมีคนมาฟังธรรม น้องชายก็อนุญาตให้หยิบแก้วมณีเหล่านั้นไปได้ตามต้องการ

 พราหมณ์มิจฉาทิฏฐิลักแก้วมณี   ดวงที่มีราคาสูงไป 

         ต่อมาน้องชายได้กราบพระพุทธเจ้า และตั้งความปรารถนาต่อพระพักตร์พระบรมศาสดาว่า "ต่อไปแม้พระราชาหรือโจรแม้หลายร้อย ชื่อว่าสามารถเพื่อจะข่มเหงข้าพระองค์ ถือเอาแม้เส้นด้ายแห่งชายผ้าอันเป็นของข้าพระองค์ จงอย่ามี นับแต่วันนี้เป็นต้นไป, แม้ไฟก็อย่าไหม้ของ ๆ ข้าพระองค์, แม้น้ำก็อย่าพัด." 

 แม้พระศาสดาก็ได้ทรงทำอนุโมทนาแก่กุฎุมพีนั้นว่า "ขอความปรารถนาที่ท่านปรารถนาอย่างนั้น จงสำเร็จ." 

           กุฎุมพีนั้น (น้องชาย) เมื่อทำการฉลองพระคันธกุฎี ถวายมหาทานแก่ภิกษุ ๖๘ แสน ในภายในวิหารนั่นแหละ ตลอด ๙ เดือน ในกาลเป็นที่สุด ได้ถวายไตรจีวรแก่ภิกษุทุกรูป. ผ้าสาฎกสำหรับทำจีวรของภิกษุผู้ใหม่ในสงฆ์ ได้มีค่าถึงพันหนึ่ง.

อปราชิตกุฎุมพีเกิดเป็นโชติกะเศรษฐี                              

         กุฎุมพีนั้นทำบุญทั้งหลายจนตลอดอายุอย่างนั้นแล้ว ละจากอัตภาพนั้น บังเกิดในเทวโลก ท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลกตลอดกาลประมาณเท่านั้น ในพุทธุปบาทกาลนี้ ถือปฏิสนธิในตระกูลเศรษฐีตระกูลหนึ่ง ในกรุงราชคฤห์ อยู่ในท้องของมารดาตลอด ๙ เดือนครึ่ง. 

         ในวันที่กุฎุมพีนั้นเกิด สรรพอาวุธทั้งหลายในพระนครทั้งสิ้นรุ่งโรจน์แล้ว. แม้อาภรณ์ทั้งหลายที่สวมกาย ของชนทั้งปวง เป็นราวกะว่ารุ่งโรจน์ เปล่งรัศมีออกแล้ว. พระนครได้รุ่งโรจน์เป็นอันเดียวกัน. แม้เศรษฐีก็ได้ไปสู่ที่บำรุงพระราชาแต่เช้าตรู่. กราบเรียนพระราชาทรงทราบแล้วทรงตั้งชื่อว่า "โชติกะ"

ท้าวสักกะเสด็จมานิรมิตสมบัติให้โชติกเศรษฐี                              

         ท้าวสักกะ (พระอินทร์) ทรงใคร่ครวญดูว่า "นี้เหตุอะไรหนอแล?" ทรงทราบว่า "ชนทั้งหลายกำลังจับจองที่ปลูกเรือนเพื่อโชติกะ" ทรงดำริว่า " โชติกะนี้ จักไม่อยู่ในเรือนที่ชนเหล่านั่นทำแล้ว, การที่เราไปในที่นั้น ควร" แล้วเสด็จไปที่นั้นด้วยเพศแห่งนายช่างไม้ ตรัสว่า "พวกท่านทำอะไรกัน?" 

เหล่าชน. พวกฉันจับจองที่ปลูกเรือน สำหรับโชติกะ. 

         ท้าวสักกะตรัสว่า "พวกท่านจงหลีกไป, โชติกะนี้จักไม่อยู่ในเรือนที่พวกท่านปลูก" แล้วทอดพระเนตรดูภูมิประเทศประมาณ ๑๖ กรีส. ภูมิประเทศนั้นได้เป็นที่สม่ำเสมอในทันใดนั้นนั่นเอง ดุจวงกสิณ. ท้าวเธอทรงดำริอีกว่า "ขอปราสาท ๗ ชั้นสำเร็จด้วยแก้ว ๗ ประการ จงชำแรกแผ่นดินผุดขึ้น ณ ที่นี้" แล้วทอดพระเนตรดู. ปราสาท (เห็นปานนั้น) ผุดขึ้นแล้วในขณะนั้นนั่นเอง. ท้าวสักกะทรงดำริอีกว่า "ขอกำแพง ๗ ชั้น ที่สำเร็จด้วยแก้ว ๗ ประการ จงผุดขึ้นแวดล้อมปราสาทนี้" แล้วทอดพระเนตรดู. กำแพงเห็นปานนั้นผุดขึ้นแล้ว.

ภรรยาท่านโชติกเศรษฐีเป็นนางแก้วที่เกิดจากอุตตระกุรุทวีป (ต่างทวีป)

จากชีวิตชาวไร่อ้อย : กลายเป็นโชติกเศรษฐี มีปราสาทเป็นแก้ว:ออกบวชแล้วสมบัติหายไปไหน?ขอบคุณภาพจาก www.madchima.org

   ครั้งนั้น ท้าวเธอทรงดำริว่า "ขอต้นกัลปพฤกษ์ทั้งหลาย จงผุดขึ้นในที่สุดรอบกำแพงเหล่านั้น" แล้วทอดพระเนตรดู. ต้นกัลปพฤกษ์ทั้งหลายเห็นปานนั้น ผุดขึ้นแล้ว. ท้าวเธอทรงดำริว่า "ขุมทรัพย์ ๔ ขุม จงผุดขึ้นที่มุมทั้ง ๔ แห่งปราสาท" แล้วทอดพระเนตรดู. ทุกสิ่งได้มีอย่างนั้นเหมือนกัน. 

          ก็บรรดาขุมทรัพย์ทั้งหลาย ขุมทรัพย์ขุมหนึ่งได้มีประมาณโยชน์หนึ่ง, ขุมหนึ่งได้มีประมาณ ๓ คาวุต, ขุมหนึ่งได้มีประมาณกึ่งโยชน์, ขุมหนึ่งได้มีประมาณคาวุตหนึ่ง, ที่ซุ้มประตูทั้ง ๗ ยักษ์ ๗ ตน ยึดการรักษาไว้แล้ว. 

ซุ้มประตูที่ ๑ ยักษ์ชื่อยมโมลีพร้อมด้วยยักษ์พันหนึ่งที่เป็นบริวารของตน ยึดการรักษาไว้แล้ว, 

ที่ซุ้มประตูที่ ๒ ยักษ์ชื่ออุปปละพร้อมด้วยยักษ์ที่เป็นบริวารของตน ๒ พัน ยึดการรักษาไว้แล้ว, 

ที่ซุ้มประตูที่ ๓ ยักษ์ชื่อวชิระพร้อมด้วยยักษ์ที่เป็นบริวารของตน ๓ พัน ยึดการรักษาไว้แล้ว, 

ที่ซุ้มประตูที่ ๔ ยักษ์ชื่อวชิรพาหุพร้อมด้วยยักษ์ที่เป็นบริวารของตน ๔ พัน ยึดการรักษาไว้แล้ว, ที่ซุ้มประตูที่ ๕ ยักษ์ชื่อสกฏะพร้อมด้วยยักษ์ที่เป็นบริวารของตน ๕ พัน ยึดการรักษาไว้แล้ว, 

ที่ซุ้มประตูที่ ๖ ยักษ์ชื่อสกฏัตถะพร้อมด้วยยักษ์ที่เป็นบริวารของตน ๖ พัน ยึดการรักษาไว้แล้ว, ที่ซุ้มประตูที่ ๗ ยักษ์ชื่อทิสามุขะพร้อมด้วยยักษ์ที่เป็นบริวารของตน ๗ พัน ยึดการรักษาไว้แล้ว. ทั้งภายในและภายนอกแห่งปราสาท ได้มีการรักษาอย่างมั่นคงแล้ว ด้วยอาการอย่างนี้. 

พระเจ้าพิมพิสารพระราชทานฉัตรตั้งให้เป็นเศรษฐี      

มหาชนต่างแตกตื่นมาชมสมบัติ  

       โชติกเศรษฐีสั่งให้หุงภัตด้วยข้าวสารที่นำมาจากอุตตรกุรุทวีปแล้ว ให้ๆ แก่ชนทั้งหลายผู้มาแล้วๆ สั่งว่า "ชนทั้งหลายจงถือเอาผ้า จงถือเอาเครื่องประดับ จากต้นกัลปพฤกษ์ทั้งหลาย" แล้วให้เปิดปากขุมทรัพย์ที่มีประมาณคาวุตหนึ่ง แล้วสั่งว่า "ชนทั้งหลายจงถือเอาทรัพย์พอยังอัตภาพให้เป็นไปได้." เมื่อชนทั้งหลายผู้อยู่ในชมพูทวีปทั้งสิ้น ถือเอาทรัพย์ไปอยู่ ปากแห่งขุมทรัพย์มิได้พร่องลงแล้ว แม้เพียงองคุลีเดียว. 

พระเจ้าพิมพิสารมีพระประสงค์จะชมปราสาท  พร้อมพระเจ้าอชาติศัตรู พระราชบุตรครั้งยังทรงพระเยาว์

          พระเจ้าอชาตศัตรูทรงน้อยพระทัย ดำริในใจว่า "โอ ทูลกระหม่อมของเราเป็นอันธพาล ชื่อว่าคฤหบดียังอยู่ในปราสาทที่ทำด้วยแก้ว ๗ ประการได้ ทูลกระหม่อมของเรานี่ เป็นถึงพระราชา ยังประทับอยู่ในพระราชมณเฑียรที่ทำด้วยไม้ บัดนี้ เราจักเป็นพระราชาแล้ว จักไม่ให้คฤหบดีนี้อยู่ในปราสาทนี้.         

        พระราชาประทับเสวยในบ้านโชติกเศรษฐี  พระราชาทรงสนทนากับเศรษฐี พระราชาประทับนั่งสนทนาปรารภถึงความสุข ตรัสเรียกเศรษฐีมาแล้ว ตรัสว่า "ภรรยาของท่านในเรือนนี้ไม่มีหรือ?" 

ทางด้านหญิงสาวผู้จะมาเป็น ภรรยาคู่บุญของโชติกเศรษฐีนั้น เป็นนางแก้วซึ่งไปเกิดในอุตตรกุรุทวีป 

         เพราะฉะนั้นเมื่อถึงคราว ที่โชติกะจะต้องแต่งงานมีคู่ครอง พวกเทวดาจึงเหาะไปพา นางมาจากอุตตรกุรุทวีป ให้นั่งในห้องอันเป็นสิริ 

         ตอนที่มาจากอุตตรกุรุทวีป ก็ได้ถือเอาทะนานข้าวสารมาด้วย พร้อมกับแผ่นศิลา ๓ แผ่น โชติกเศรษฐีพร้อมด้วยภรรยา จะอาศัยแสงสว่างจากแก้วมณี

         จึงไม่ต้องอาศัยแสงสว่าง ของไฟหรือประทีป ทั้งสองภรรยาสามี ผู้มีบุญอาศัยทะนานข้าวสาร กับแผ่นศิลาวิเศษซึ่งถือว่าเป็นเครื่องครัวที่รู้ใจ และอาศัยแก้วมณี ที่นำความปรารถนาสำเร็จ มาให้ทุกอย่าง ทำให้ได้รับความสะดวกสบาย บนปราสาทแก้ว ประดุจอยู่บนสรวงสวรรค์

เศรษฐีรู้ว่า "พระราชามีพระประสงค์จะทอดพระเนตร ภริยาของเรา" จึงไปสู่สำนักของนางแล้ว บอกว่า "พระราชาเสด็จมาแล้ว, การที่หล่อนเฝ้าพระราชา ไม่ควรหรือ?"

ภรรยาเศรษฐีน้อยใจที่ยังมีผู้ใหญ่กว่าตน                             

        นางนอนอยู่นั่นแล กล่าวว่า "นาย ชื่อว่าพระราชานั้นเป็นอย่างไร?" 

        เมื่อเขาบอกว่า "คนที่เป็นใหญ่ของพวกเรา ชื่อว่าพระราชา" นางจึงกล่าวกับสามีว่าตนมีด้วยความน้อยใจว่า "พวกเรายังมีแม้บุคคลผู้เป็นใหญ่ (นับว่า) ทำบุญกรรมทั้งหลายไว้ไม่ดีหนอ, พวกเราทำบุญกรรมทั้งหลายชื่อด้วยไม่มีศรัทธา จึงถึงสมบัติเกิดแล้วในที่ของชนอื่นผู้เป็นใหญ่; ทานจักเป็นของอันเราทั้งหลายไม่เชื่อแล้วให้เป็นแน่, นี่เป็นผลของทานนั้น"

จากชีวิตชาวไร่อ้อย : กลายเป็นโชติกเศรษฐี มีปราสาทเป็นแก้ว:ออกบวชแล้วสมบัติหายไปไหน?ขอบคุณภาพจาก www.kalyanamitra.org

ภรรยาเศรษฐีน้ำตาไหล 

        เพราะกลิ่นแห่งพระภูษาสำหรับโพกของพระองค์ ด้วยว่าภรรยาของข้าพระองค์นี้ ไม่เคยเห็นแสงสว่างของประทีปหรือแสงสว่างของไฟ ย่อมบริโภคนั่งและนอนด้วยแสงสว่างของแก้วมณีเท่านั้น ส่วนสมมติเทพคงจักประทับนั่งด้วยแสงสว่างแห่งประทีป. พระราชาทรงรำพึงว่า "สมบัติของโชติกะเศรษฐีนี้ เยอะ จริง ๆ "    

        ต่อมาเมื่อพระเจ้าอชาตศัตรูขึ้นครองราชย์ ก็มีจิตคิดจะยึดเอาบ้านเศรษฐี แต่พระราชาทรงถอดแหวนจากนิ้วของโชติกะเศรษฐีด้วยแรงเท่าไรก็ไม่ออก เป็นเพราะเศรษฐีไม่อนุญาต จึงถอดไม่ออก         

เศรษฐีสลดใจใคร่จะบวช 

         เศรษฐีกราบทูลท้าวเธอว่า "ข้าแต่สมมติเทพ ใครๆ ไม่สามารถเพื่อจะถือเอาทรัพย์สมบัติอันเป็นของข้าพระองค์ด้วยอาการอย่างนั้นได้ เพราะข้าพระองค์ไม่ปรารถนา" ดังนี้แล้ว เกิดสลดใจเพราะพระกิริยาของพระราชา จึงกราบทูลว่า "ข้าแต่สมมติเทพ ขอพระองค์จงทรงอนุญาตเพื่อการบวชแก่ข้าพระองค์." 

         ท้าวเธอทรงดำริว่า "เมื่อเศรษฐีนี้บวชแล้ว เราจักยึดเอาปราสาทได้สะดวก" จึงตรัสว่า "จงบวชเถิด " ด้วยพระดำรัสคำเดียวเท่านั้น. เศรษฐีนั้นบวชในสำนักพระศาสดาแล้ว ต่อกาลไม่นานนักก็ได้บรรลุพระอรหัต มีชื่อว่าพระโชติกเถระ. 

         ในขณะที่ท่านบรรลุพระอรหัตแล้วนั่นแล สมบัตินั้นแม้ทั้งหมดก็อันตรธานไป. พวกเทพดาก็นำภรรยาของเศรษฐีนั้น ชื่อสตุลกายา แม้นั้นไปสู่อุตตรกุรุทวีปนั่นแล.

พวกภิกษุเข้าใจว่าพระเถระอวดอุตริมนุสธรรม                              

        ต่อมาวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายเรียกพระโชติกเถระนั้นมาแล้ว ถามว่า "โชติกะผู้มีอายุ ก็ตัณหาในปราสาทหรือในหญิงนั้นของท่านยังมีอยู่หรือ? เมื่อท่านบอกว่า "ไม่มี ผู้มีอายุทั้งหลาย" จึงกราบทูลแด่พระศาสดาว่า "พระเจ้าข้า พระโชติกะนี้ กล่าวไม่จริง พยากรณ์พระอรหัตผล." 

               พระศาสดาตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย บุตรของเราไม่มีตัณหาในปราสาทหรือในหญิงนั้นเลย" ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า :- 

                                   ผู้ใด ละตัณหาได้แล้ว ในโลกนี้ เป็นผู้ไม่มีเรือน 

                         เว้นเสียได้, เราเรียกผู้นั้น ซึ่งมีตัณหาและภพอันสิ้นแล้ว 

                         ว่า เป็นพราหมณ์. 

               ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.

               เรื่องพระโชติกเถระ จบ.               

อ่าน เนื้อความในพระไตรปิฎก

http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=25&A=1301&Z=1424

แชร์