ม. 27 ทวิ ไม่รู้ย่อมไม่ผิด
นายไพบูลย์ นิติตะวันอ้างว่า รับของไม่ได้เสียภาษีไม่ต้องมีเจตนาก็ถือเป็นความผิด ซึ่งตามหลักกฎหมาย ม. 27 ทวิ จะเป็นความผิดได้ต่อเมื่อรู้ว่าของนั้นผิดกฎหมาย จึงมีคำถามว่า นายไพบูลย์พยายามให้สมเด็จฯมัวหมองเพื่ออะไร http://winne.ws/n861
นายไพบูลย์ นิติตะวัน
จากการพาดหัวข่าวของผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 23 มีนาคม 2559 18:19 น. (แก้ไขล่าสุด 24 มีนาคม 2559 08:55 น.) ว่า
“ไพบูลย์” ย้ำไม่มีเจตนารับของไม่เสียภาษีก็ผิด ติงทนายใช้วิธีการเมืองทำ “สมเด็จช่วง” เสีย
ในเนื้อข่าวได้กล่าวว่า อดีต สปช. “ไพบูลย์” ไล่ทีมทนายวัดปากน้ำเช็คกฎหมายดี ๆ ยัน พ.ร.บ. กรมศุลกากร เขียนไว้ชัด รับของไม่ได้เสียภาษีไม่ต้องมีเจตนาก็ถือเป็นความผิด
ผู้เขียนไม่เชื่อว่าคนอย่างท่านไพบูลย์ ซึ่งเป็นถึงอดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ จะไม่ได้ศึกษากฎหมายมาตรานี้ให้ชัดเจน ถึงกับออกมาอ้างดังกล่าว แต่สิ่งที่ผู้เขียนนึกอยู่ในใจคือ ท่านมีวาระแอบแฝงอะไรหรือไม่ ท่านตั้งธงอะไรไว้ในใจหรือปล่าว ที่ผู้เขียนกล่าวอย่างนี้เพราะผู้เขียนเองมีความรู้กฎหมายแค่หางอึ่ง แต่พออ่านกฎหมายก็ยังเข้าใจ ว่ามันไม่ได้ซับซ้อนอะไรเลย แม้แต่คนที่ไม่รู้กฎหมาย หากอ่านดูให้ดีก็จะเข้าใจ ไม่เชื่อตามมาดูกัน ค่อยๆอ่านนะครับ
ในพ.ร.บ. ศุลกากรกล่าวไว้ว่าความผิดตามกฎหมายศุลกากรเป็นความผิดทางอาญาสาขาหนึ่งซึ่งจะต้องนำบทบัญญัติทั่วไปในภาค 1 แห่งประมวลกฎหมายอาญามาใช้บังคับด้วย แต่ความผิดตามกฎหมายศุลกากรเป็นความผิดที่เกิดจากข้อห้าม (MALA PROHIBITA) ในความผิดบางมาตราการกระทำความผิด ไม่ต้องมีเจตนาก็เป็นความผิด เช่น ความผิดตามมาตรา 27 และมาตรา 99 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พุทธศักราช 2469 ส่วนความผิดตามมาตราอื่น ๆ คงเป็นไปตามหลักทั่วไปของความผิดทางอาญาคือต้องมีเจตนาถึงจะเป็นความผิด
ตรงประโยคที่ขอให้ดูดีๆคือ ตรงนี้ครับ ในความผิดบางมาตรา การกระทำความผิด ไม่ต้องมีเจตนาก็เป็นความผิด เช่น ความผิดตามมาตรา 27 และมาตรา 99 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พุทธศักราช 2469
ท่านไพบูลย์ท่านอ้างตรงนี้แหละครับว่า ตามมาตรา 27 แม้ไม่ต้องมีเจตนาก็เป็นความผิด เรามาดูเนื้อหาของ ม. 27 กัน
มาตรา 27 ผู้ใดนำหรือพาของที่ยังมิได้เสียค่าภาษี หรือของต้องจำกัด หรือของ ต้องห้าม หรือที่ยังมิได้ผ่านศุลกากรโดยถูกต้องเข้ามาในพระราชอาณาจักรสยามก็ดี หรือส่ง หรือ พาของเช่นว่านี้ออกไปนอกพระราชอาณาจักรก็ดี หรือช่วยเหลือด้วยประการใด ๆ ในการนำของ เช่นว่านี้เข้ามา หรือส่งออกไปก็ดี หรือย้ายถอนไป หรือช่วยเหลือให้ย้ายถอนไปซึ่งของดังกล่าวนั้น จากเรือกำปั่น ท่าเทียบเรือ โรงเก็บสินค้า คลังสินค้า ที่มั่นคง หรือโรงเก็บของโดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ดี หรือให้ที่อาศัยเก็บ หรือเก็บ หรือซ่อนของเช่นว่านี้ หรือยอม หรือจัดให้ผู้อื่นทำการเช่นว่านั้น ก็ดี หรือเกี่ยวข้องด้วยประการใด ๆ ในการขนหรือย้ายถอน หรือกระทำอย่างใดแก่ของเช่นว่านั้น ก็ดี หรือเกี่ยวข้องด้วยประการใด ๆ ในการหลีกเลี่ยง หรือพยายามหลีกเลี่ยงการเสียค่าภาษี ศุลกากร หรือในการหลีกเลี่ยง หรือพยายามหลีกเลี่ยงบทกฎหมายและข้อจำกัดใด ๆ อันเกี่ยวแก่ การนำของเข้า ส่งของออก ขนของขึ้น เก็บของในคลังสินค้า และการส่งมอบของโดยเจตนาจะฉ้อ ค่าภาษีของรัฐบาล ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่จะต้องเสียสำหรับของนั้น ๆ ก็ดี หรือ หลีกเลี่ยงข้อห้ามหรือข้อจำกัดอันเกี่ยวแก่ของนั้นก็ดี
สำหรับความผิดครั้งหนึ่ง ๆ ให้ปรับเป็นเงินสี่เท่าราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว หรือจำคุกไม่เกินสิบปี หรือทั้งปรับทั้งจำ"
ตามมาตรา 27 นี้เอง ที่กฎหมายระบุว่า แม้ไม่มีเจตนาก็เป็นความผิด อันนี้ชัดเจนนะครับ ซึ่งหากพิจารณาตามมาตรานี้ สมเด็จฯท่านไม่ได้มีส่วนอะไรทั้งสิ้นนะครับ
มาดูประเด็นสำคัญที่ท่านไพบูลย์บอกตามที่พาดหัวข่าวนะครับว่า “ไพบูลย์” ย้ำไม่มีเจตนารับของไม่เสียภาษีก็ผิด ติงทนายใช้วิธีการเมืองทำ “สมเด็จช่วง” เสีย ตรงนี้แหละครับที่สำคัญ ท่าน(แกล้ง)ลืมไปว่า ที่ท่านยกมานั้นไม่ใช่ ม. 27 เพราะตาม ม. 27 นั้น ไม่มีเรื่องของการรับเลยนะครับ แล้วการรับอยู่ที่ไหน ปรากฏว่าการรับมาอยู่ใน ม. 27 ทวิครับ ความว่า
มาตรา 27ทวิ ผู้ใดช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้โดยประการใดซึ่งของอันตนรู้ว่าเป็นของที่ยังมิได้เสียค่าภาษี หรือของต้องจำกัด หรือของต้องห้าม หรือที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยยังมิได้ผ่านศุลกากรโดยถูกต้องก็ดี หรือเป็นของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากร ข้อจำกัดหรือข้อห้ามอันเกี่ยวแก่ของนั้นก็ดี มีความผิดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับเป็นเงินสี่เท่าราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว หรือทั้งจำทั้งปรับ
นี่แหละครับ จุดสำคัญคือ การรับตาม ม. 27 ทวินั้น ต้องรู้ ครับ ดังนั้นการที่รับไว้โดยไม่รู้ ย่อมไม่เข้าข่ายนี้ครับผม ชัดเจนไหมครับ
ขอร้องครับอย่าตะแบงว่า คำว่า รู้ นี่แปลว่า เจตนาหรือไม่เจตนานะครับ หรือยังงง ก็ขอบอกว่า "ม. 27 ทวินั้นจะผิดก็ต่อเมื่อรู้ว่าของนั้นได้มาโดยการกระทำความผิด" ครับท่านอดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ
ตกลงว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาท่านออกมาไล่เบี้ยกับสมเด็จฯอย่างเอาเป็นเอาตาย เกิดจากอะไรแน่ครับ ทั้งที่ทั้งสังฆมณฑลยอมรับนับถือสมเด็จฯ แม้สงฆ์ทั้งสองนิกายก็ไม่มีปัญหา ก็เห็นมีแต่ท่านกับพวกไม่กี่คน ที่ออกมาจี้ติดจนใครๆเขาก็สงสัยว่าเรื่องนี้มีเบื้องหน้าเบื้องหลังเบื้องลึกอะไรหรือไม่ ข้อเขียนของผมเองก็คงไม่สามารถจะหยุดท่านได้ ก็ได้แต่ถามท่านตรง ๆว่า
"จะไล่ล่าพระไปถึงไหน"