จากคุกกี้ถุงหนึ่ง ถึงวัด ๆ หนึ่ง
จากแง่คิดเรื่องคุกกี้ถุงหนึ่ง นำมาสู่แง่คิดเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับวัด ๆ หนึ่งได้ เพื่อปรับแนวคิดให้มองวัดด้วยสายตาที่ปราศจากอคติ http://winne.ws/n1518
เห็นภาพคุกกี้แล้วอย่าคิดว่าผู้เขียนจะมาชวนทำคุกกี้นะครับ แต่มีเรื่องราวเกี่ยวกับคุกกี้ที่ได้อ่านพบแล้วทำให้นึกถึงเหตุการณ์ในปัจจุบัน เลยนำภาพมาประกอบให้รู้สึกหิวแค่นั้นเองครับ ขอเล่าเรื่องสั้น ๆ ก็แล้วกันนะครับ (สามารถหาอ่านเรื่องเต็ม ๆ ได้จาก https://www.gotoknow.org/posts/560576 )
เรื่องมีอยู่ว่า มีนักธุรกิจหญิงคนหนึ่งซื้อหนังสือและคุกกี้มานั่งรอขึ้นเครื่อง เมื่อเธอหาที่นั่งได้ ก็เห็นว่ามีชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่แบบไม่สนใจอะไร สักครู่ชายคนนั้นก็หยิบคุกกี้ที่วางอยู่ระหว่างคนทั้งสองกิน เธอรู้สึกโมโหมาก เจ้าหนุ่มนั่นก็กินเอากินเอา เธอก็กินมั่ง จนเหลือชิ้นสุดท้าย เจ้าหนุ่มก็แบ่งครึ่งให้เธอ เธอรู้สึกหงุดหงิดเต็มทนว่า เจ้านี่ไม่รู้จักขอบคุณสักคำ
เธอขึ้นเครื่องด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัว เมื่อธอเหยิบหนังสือที่อ่านค้างไว้เพื่อจะมาอ่านต่อจากกระเป๋า เธอกลับพบว่ายังมีขนมคุกกี้ 1 ห่อ เธอตกใจมาก กลายเป็นว่าตัวเองไปกินขนมของเจ้าหนุ่มคนนั้นซะงั้น เธอรู้สึกเสียใจ วิ่งกลับไปเพื่อจะขอโทษชายหนุ่ม แต่ก็พบแต่เก้าอี้ที่ว่างเปล่า เธอรู้สึกปวดใจว่า จริง ๆ แล้วเธอเองเป็นผู้ผิด
ในท้ายเรื่องผู้เขียนได้ให้ข้อคิดว่า ในชีวิตของเราอาจจะเคยตัดสินผู้อื่นผิดพลาดมาแล้ว เราควรจะมองผู้อื่นในแง่ดีบ้าง
โครงการอบรมอุบาสิกาแก้ว
เมื่อผู้เขียนอ่านเรื่องนี้จบ ทำให้นึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นในประเทศที่มีผู้นับถือพระพุทธศาสนาถึง 85% เป็นเมืองที่ได้รับการยกย่องว่ามีวัดวาอารามมากมาย แต่ ณ วันนี้ ผู้มีอำนาจในบ้านเมืองกลับมองวัด ๆ หนึ่งด้วยสายตาที่ต่างออกไป จากการที่เห็นผู้คนหลั่งไหลมาทำทาน รักษาศีล เจริญสมาธิภาวนา แทนที่จะมองว่านั่นคือ ความมั่นคงในพระพุทธศาสนา เป็นสิ่งที่น่าชื่นใจว่าเยาวชน ได้พากันมาสร้างความดี กลับมองว่าวัดนี้เป็นภัยต่อความมั่นคง ซึ่งเป็นมุมมองที่ผิดพลาดอย่างมาก
โครงการบรรพชาสามเณร
โครงการอุปสมบทธรรมทายาท
โครงการเด็กดีวีสตาร์
โครงการตอบปัญหาธรรมะ
จากภาพเหล่านี้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งในโครงการอีกมากมายที่ทางวัดแห่งนั้น ได้ตั้งใจจะสร้างให้บุคลากรของประเทศเป็นคนที่มีคุณภาพ เป็นการสร้างสังคมตามหลักพระพุทธศาสนา ซึ่งความจริงแล้ว กิจกรรมต่าง ๆ เหล่านี้ควรจะได้รับการสนับสนุน แต่ในความเป็นจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่
ภาพต่าง ๆ ที่ถูกสื่อออกไป จะด้วยเจตนาหรืออะไรก็ตาม ด้วยสมมุติฐานที่ว่า "เป็นภัยต่อความมั่นคง" จึงทำให้ได้รับการขัดขวางทุกวิถีทาง สิ่งที่เป็นความดีก็ถูกมองเป็นเรื่องร้ายไปหมด แม้แต่การจัดตักบาตร หรือการจัดบรรพชา ก็ยังถูกมองว่าเป็นการเคลื่อนไหวที่เป็นภัยต่อความมั่นคง
ในเรื่องคุกกี้ถุงหนึ่งนั้น เมื่อนักธุรกิจหญิงคนนั้นคิดได้ รู้สึกเสียใจ จะวิ่งมาขอโทษ แต่ก็สายเกินไป เพราะชายคนนั้นไม่อยู่แล้ว ความเสียหายก็เพียงแค่ความรู้สึกของนักธุรกิจหญิงคนนั้นเท่านั้น
แต่สำหรับเรื่องการมองว่าวัดเป็นภัยต่อความมั่นคงนั้น ความเสียหายเกิดขึ้นมากมายเหลือเกิน มากจนไ่ม่อาจคิดคำนวณค่าความเสียหายนั้นได้ ถามว่า
1. ใครจะรับผิดชอบความเสียหายที่จะเกิดขึ้น
2. จะรับผิดชอบอย่างไร
3. ความบอบช้ำของพระพุทธศาสนาใครจะเยียวยาได้
4. ศรัทธาของคนที่เสื่อมถอยจากการนำเสนอข่าวสารแง่ลบ จะกลับคืนมาอย่างไร
5. ความเจ็บปวดของสาธุชนที่มาวัดที่เขารู้สึกว่าพระอาจารย์ของเขาถูกกระทำด้วยความอยุติธรรม จะเยียวยาความรู้สึกนี้อย่างไร
ฯลฯ
หยุดใส่ร้ายป้ายสีกันดีไหม แล้วมาร่วมแรงร่วมใจกัน สร้างสรรค์สิ่งดี ๆ ให้เกิดขึ้นกับสังคมของเรา มองกันในแง่ดี มองด้วยจิตเมตตา มองด้วยจิตที่ปราศจากอคติ แล้วจะพบว่าวัดในพระพุทธศาสนานั้น แท้จริงแล้วคือ โรงเรียนสอนศีลธรรม จริยธรรมขนาดใหญ่ให้กับคนในชาติ หากมองออกอย่างนี้ แม้เราจะเป็นเพียงประเทศเล็ก ๆ ประเทศหนึ่ง แต่เราจะเป็นประเทศที่มีความสุขมากที่สุดในโลกอย่างแท้จริง