นายกฯสั่งการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีแก้ปัญหาหนี้เสีย ด้วยการคุมวงเงินบัตรเครดิตให้ไม่ควรเกิน 1.5 เท่าของรายได้ต่อเดือน

ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนพฤษภาคมธนาคารแห่งประเทศไทยแถลงผลประกอบการธนาคารพาณิชย์ในไตรมาสที่ 1 คุณภาพสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ด้อยลงจากผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา ทำให้สัดส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ต่อสินเชื่อรวมเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน ที่ร้อยละ 2.83 มาอยู่ที่ร้อยละ 2.94 ซึ่งถือว่าเป็นสัญญาณที่ไม่ดีต่อเศรษฐกิจไทย

วันที่ (11 ก.ค.) พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังจากประชุมคณะรัฐมนตรีว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. กำชับให้ดูแลในเรื่องดังกล่าว โดยเตรียมออกมาตรการควบคุมสินเชื่อบัตรเครดิต และสินเชื่อส่วนบุคคลเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ซึ่งอาจจะมีการปรับเปลี่ยนเพดานเงินกู้ตามรายได้แต่ละเดือนของภาคประชาชน เช่น มีเงินเดือน 15,000 - 30,000 บาท จะได้รับวงเงินบัตรเครดิต ที่มีวงเงินสูงสุดไม่เกิน 1.5 เท่าของรายได้

แต่ทางกลับกันรัฐบาลสำรวจว่าช่วงวันหยุดยาวเข้าพรรษาที่ผ่านมามีเงินสะพัดถึง 6,200 ล้านบาทแสดงถึงความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจภาใต้การนำของรัฐบาลกำลังฟื้นตัว แต่อย่างไรก็ยังคงต้องจับตาสถานการณ์หนี้เสียเพื่อทำให้ไม่เกิดการใช้จ่ายเงินที่เกินตัวจนเกิดหนี้สินด้วย

ที่มา: http://news.voicetv.co.th/business/506299.html