รู้กรรมด้วยธรรมะ ...

เป็นเรื่องเล่าจากคุณประภา จุลชาติ, กทม. จากเด็กที่แข็งแรงสมบูรณ์ต้องมาเป็นคนขาพิการด้วยแค่ถูกตะปูตำ ต้องผ่านการผ่าตัดถึง 16 ครั้ง เจ็บปวดแสนทรมาน แถมยังมีโรคอื่น ๆ ตามมาอีกด้วย เธอได้เข้าร่วมในโครงการพัฒนาจิตที่วัดอัมพวัน จึงรู้เรื่องกรรม ... http://winne.ws/n20543

1.1 พัน ผู้เข้าชม
รู้กรรมด้วยธรรมะ ...https://scontent-fbkk5-7.us-fbcdn.net

การเจริญสติปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานจะแก้กรรมได้ และจะรู้กรรมของตนเองได้ นั่นจริงหรือ? ข้าพเจ้าเป็นคนไม่เชื่ออะไรง่ายๆ เรื่องเวรเรื่องกรรมไม่เคยเชื่อ จนได้มาประสบกับตัวเอง ได้พิสูจน์เอง....

         ข้าพเจ้าเกิดมาเป็นเด็กหญิงที่แข็งแรง สุขภาพร่างกายสมบูรณ์ดีแต่มีแผลติดตัวมาอยู่ตรงกระเบนเหน็บ ซึ่งตรงกับจุดศูนย์รวมประสาท เป็นแผลลึกกว่าจะรักษาให้หายได้เป็นเวลาหลายวัน ต่อมาถูกตะปูตำที่เท้า ทำให้อักเสบเดินไม่ได้ได้รับการผ่าตัดจากแพทย์ แต่ก็กลายเป็นคนเท้าพิการ

         เวลาผ่านไปหลายปี ความพิการที่เท้าก็ยังไม่หาย ขาก็เริ่มลีบเล็กลง ไม่มีแรงจึงได้เข้าโรงพยาบาลผ่าตัดหลังตรงกระเบนเหน็บเพื่อแก้ระบบประสาทตั้งแต่เอวถึงปลายเท้าให้ดีขึ้นในเวลาต่อมาขาข้างขวาเกิดอ่อนแรงลงไปมาก ปลายเท้าตกต้องผ่าตัดแก้ไขกันอีกโดยตอกข้อเท้าให้หักแล้วงัดปลายเท้าขึ้น เอาเหล็กเสียบตรึงไว้ ๓ อันต้องใส่เฝือกอยู่นาน ปัจจุบันนี้เหล็กที่เสียบกระดูกไว้เกิดหลวมเวลาเดินถ้าก้าวเท้าไม่ถูกจังหวะจะเจ็บ แพทย์ให้ผ่าตัดใหม่ ข้าพเจ้าไม่ผ่าขอยุติการผ่าตัดกันเสียที ไม่ทราบว่า ข้าพเจ้ามีเวรกรรมอะไร ถูกตะปูตำเท่านั้นต้องกลายมาเป็นคนขาพิการ แต่ข้าพเจ้าก็อดทน ต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บที่ประดังกันเข้ามาบางครั้งเป็นพร้อมกันตั้ง ๓ โรค ขาเจ็บ เป็นไข้ กระเพาะปัสสาวะอักเสบปัสสาวะออกมาเป็นเลือด เป็นในเวลาเดียวกันหมดมีคนแนะนำให้ไปหาพระให้ท่านดูให้ว่ามีเวรกรรมอะไร จะได้แก้กรรมได้ถูกข้าพเจ้าไม่เชื่อ 

        จนกระทั่งครั้งหนึ่งผู้อำนวยการกองวิเคราะห์ กรมพัฒนาที่ดินคือคุณศิริพันธุ์ จิตะสมบัติ ได้กรุณาพาข้าพเจ้าไปหาพระที่จังหวัดนครปฐมท่านขอกว่าท่านช่วยอะไรไม่ได้เลย เจ้ากรรมนายเวรมารุมล้อมท่านเต็มไปหมด และบอกว่าอย่าช่วย ผู้หญิงคนนี้เป็นคนใจร้ายมาก ข้าพเจ้าไม่เชื่อ จึงพูดท้าทายออกไป“ถ้าอย่างนั้นก็ให้มาเอาชีวิตไปเสีย เอาไปเดี๋ยวนี้เลย” พระท่านก็ย้ำถามว่า“จะเอาอย่างนี้จริง ๆ หรือ” ข้าพเจ้าตอบยืนยันท่านก็นั่งสมาธิติดต่อเจ้ากรรมนายเวรอยู่ครู่หนึ่ง ท่านก็บอกว่า “เขาไม่เอาเขาจะทรมานข้าพเจ้าอยู่อย่างนี้ และจะต้องได้รับความเจ็บปวดจากการผ่าตัดอีก”ข้าพเจ้าไม่เชื่อ แต่ผลสุดท้ายก็ต้องเข้าโรงพยาบาลผ่าตัดอีกจริง ๆเวลาผ่านไปเพียงเดือนเดียวเท่านั้น ข้าพเจ้าต้องผ่าไส้ติ่งแต่คิดว่าเป็นการบังเอิญมากกว่า รวมแล้วเข้าโรงพยาบาลผ่าตัดมาทั้งหมด ๑๖ ครั้ง สลบ๑๔ ครั้ง ไม่สลบ ๒ ครั้ง และยังไม่รู้ว่ากว่าข้าพเจ้าจะสิ้นชีวิต จะต้องเข้าผ่าตัดกันอีกหรือไม่

         ข้าพเจ้าเคยไปกราบนมัสการเกจิอาจารย์มาหลายองค์แม้แต่การเข้าทรงก็เคยไปสัมผัสมา เพราะอยากรู้อยากศึกษาเรื่องลี้ลับเรื่องเวรเรื่องกรรม ผลสรุปจากการที่ไปพบ จะพูดถึงกรณีของข้าพเจ้าคล้ายกันหมดว่าข้าพเจ้าเป็นคนโหดเหี้ยมทารุณ ร้ายกาจ คิดแล้วไม่อยากจะเชื่อจนกระทั่งได้มาพบกับท่านเจ้าคุณหลวงพ่อจรัญ ท่านเจ้าอาวาสวัดอัมพวัน  เมื่อพบหน้าข้าพเจ้าครั้งแรก ท่านก็ชี้หน้าว่า“ใจร้าย” ทั้ง ๆ ที่หลวงพ่อยังไม่ได้พูดคุยหรือซักถามอะไรข้าพเจ้าเลยหลวงพ่อยังไม่เห็นด้วยว่าข้าพเจ้ามีขาพิการ ข้าพเจ้าคลานเข้าไปกราบพร้อมกับคนอื่นๆ อีกหลายคน พอเงยหน้าขึ้นมา หลวงพ่อก็ว่าใจร้าย รู้สึกงง ไม่ได้ทำอะไรใครเลยทำไมหลวงพ่อว่าใจร้าย หลวงพ่อว่าแล้วก็หัวเราะ บอกว่า “อดีตชาติ”ท่านเจ้าคุณหลวงพ่อคงใช้จิตดู เห็นหนอ...เห็นหนอ...

         เมื่อข้าพเจ้าไปเข้าปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานครั้งแรกโดยการชักชวนจากอาจารย์มุกดา วิภาวสุ ได้ไปเข้าร่วมในโครงการพัฒนาจิต ซึ่งยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดขึ้นที่วัดอัมพวัน โดย คุณแม่ดร. สิริ กรินชัย เป็นวิทยากร ข้าพเจ้าตกลงไปด้วยเพราะเกรงใจพี่มาชวนหลายครั้งแล้ว และยังจะเป็นผู้คอยดูแลช่วยเหลือให้ได้รับความสะดวกทุกประการอีกด้วยเมื่อเดินทางไปถึงวัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี ข้าพเจ้าก็เริ่มไม่สบายใจอึดอัดบอกไม่ถูก เรียกว่าเซ็งเป็นที่สุด ผู้คนเยอะแยะขวักไขว่ไปหมด

         พิธีเริ่มด้วยการสวดมนต์ไหว้พระรับกรรมฐาน ท่านเจ้าคุณหลวงพ่อท่านเจ้าอาวาสวัดอัมพวันมาเป็นองค์ประธานเปิดการอบรม เสร็จแล้ว เริ่มปฏิบัติเดินจงกรมนั่งสมาธิปฏิบัติกันที่หอประชุมภาวนากรศรีทิพา ข้าพเจ้าเริ่มปวดศีรษะแล้วก็ปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ พอถึง ๕ ทุ่มก็อาเจียน ต้องทานยาแก้แพ้ให้ง่วงหลับไปพอตี ๔ ตื่นขึ้นมาทำภารกิจส่วนตัวเสร็จแล้วก็ไปที่หอประชุมปฏิบัติกันก่อน

๖.๐๐ น.       คุณแม่สิริ ท่านก็มานำสวดมนต์ไหว้พระ ฟังธรรม

๗.๐๐ น.       ไปรับประทานอาหารเช้า

๘.๐๐ น.       เข้าปฏิบัติต่อ ในวันนี้ตรงกับวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๓๓ซึ่งเป็นวันคล้ายวัน

                       พระราชสมภพของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

         คุณแม่สิริ ท่านนำลูกโยคีถวายราชสดุดี หลังจากนี้ก็เดินจงกรม นั่งสมาธิ พอเริ่มปฏิบัติ อาการปวดศีรษะก็เริ่มรุนแรงขึ้น ท้องก็ปวด ต้องนั่งเฉย ๆอาการก็ยังไม่หาย อาเจียนออกมาเรื่อย ต้องนั่งกอดกระโถนไว้ อาเจียนแล้วอาเจียนเล่าอยู่ในห้องกรรมฐาน เลยต้องกลับที่พัก

         ข้าพเจ้าตัดสินใจกลับบ้าน ได้บอกให้อาจารย์มุกดา วิภาวสุผู้ทำหน้าที่พี่เลี้ยงไปเหมารถมารับกลับบ้านอาจารย์มุกดาและกัลยาณมิตรอีกหลายคนไม่ให้กลับ เพราะรู้อาการของโรคกันดีข้าพเจ้าจนปัญญากลับไม่ได้ อาเจียนก็ยังไม่หยุด รู้สึกเพลียและทรมานเหลือเกินคุณสมประสงค์ ลูกศิษย์ของท่านเจ้าคุณหลวงพ่อ ได้นำเอาตะไคร้ที่หลวงพ่อทำเป็นยาไว้มาชงน้ำให้ดื่ม พอดื่มน้ำตะไคร้ของหลวงพ่อไปได้สักพักหนึ่ง อาเจียนก็หยุดอาการปวดศีรษะก็ทุเลาเบาคลายลงไปมาก มีแต่อาการอ่อนเพลียเท่านั้น ตอนบ่ายข้าพเจ้าเห็นว่าอาการดีขึ้นแล้วจึงไปปฏิบัติที่หอประชุม คราวนี้ปฏิบัติได้ไม่อาเจียน ไม่ปวดท้อง ไม่ปวดศีรษะมีสมาธิในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานได้ดี แต่จะหิวบ้าง คืนนี้ข้าพเจ้านอนหลับสบาย

         พอเช้าวันรุ่งขึ้น ตื่นขึ้นมาก็รู้สึกว่ามีความสุขกายสบายใจ ชุ่มชื่นใจอย่างบอกไม่ถูกเย็นกายเย็นใจมีความสุขมาก ความสุขสดชื่นแบบนี้ ข้าพเจ้าไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนเลยอาจารย์มุกดาและกัลยาณมิตรทุกคน ต่างก็มีความยินดีและมาอนุโมทนากับข้าพเจ้าแล้วพูดว่า “พี่ภา ชนะแล้ว” หมายถึงชนะมารที่มาเป็นอุปสรรคขัดขวางการบำเพ็ญเพียรปฏิบัติธรรมปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานของข้าพเจ้า ซึ่งเป็นมารมาในรูปโรคภัยไข้เจ็บถ้าข้าพเจ้าดื้อรั้นกลับบ้านไป ข้าพเจ้าก็จะแพ้มารและแพ้ตลอดไปคุณแม่สิริท่านบอกว่า ถ้าใครมีเวรมีกรรม มีโรคภัยไข้เจ็บประจำตัวมาก ก็จะมีอาการเป็นเหมือนอย่างข้าพเจ้าเป็นนั้น จะมากหรือน้อยสุดแต่กรรมที่ทำไว้หลวงพ่อท่านบอกว่า การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานจะช่วยแก้กรรมให้เบาบางลงได้ปฏิบัติแล้วแผ่บุญกุศลแผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวรไปเรื่อย ๆสักวันหนึ่งเจ้ากรรมนายเวรอาจจะใจอ่อน เลิกจองเวรกับเราก็ได้หรือมิฉะนั้นผลบุญที่เราทำเพิ่มพูนไว้มาก ๆ จนล้น จะช่วยให้เราหนีกรรมไปห่างไกลจนกรรมตามไม่ทันและจะหลุดพ้นได้ในที่สุด

         เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้าเชื่อในกฎแห่งกรรม เรื่องของจิตวิญญาณแล้วหลังจากที่ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติ และได้เข้ามาปฏิบัติที่วัดอัมพวันหลายครั้งแล้วคนที่ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน จะรู้กรรมด้วยตนเอง นี่เป็นความจริงดังที่ได้พิสูจน์และได้พบเห็นในขณะที่นั่งสมาธิอยู่ข้าพเจ้าได้เห็นผู้หญิงคนหนึ่งรูปร่างหน้าตาสวยมาก ผิวเนื้อสองสี ผมยาวประบ่านัยน์ตาดำคม คิ้วโก่งเรียวได้รูปสวย นุ่งผ้าพื้นสีเขียวคล้ำใส่เสื้อแขนกระบอกคอกลมสีชมพูเข้ม มายืนจ้องดูข้าพเจ้าด้วยสายตาที่ดุดันแข็งกร้าวคล้ายกับจ้องมองคู่อาฆาตด้วยความเคียดแค้น และทำท่าจะเดินเข้ามาทำร้ายข้าพเจ้าก็จ้องมองเธอ

         ทันใดนั้นสภาพหน้าที่ขาวสวยเกลี้ยงเกลากลับเปลี่ยนไป มีเลือดแดงสด ๆไหลออกมาจากทางใต้ไรผมบนหน้าผาก ไหลออกมาเป็นทางเต็มหน้า ตาจับจ้องอยู่ที่ข้าพเจ้าและจำเดินเข้ามาใกล้ ข้าพเจ้าเกิดความกลัว เลยออกจากสมาธิ ภาพหญิงนั้นก็หายไปข้าพเจ้าไปเรียนถามคุณแม่สิริท่านบอกว่านั่นแหละเป็นเจ้ากรรมนายเวรที่ข้าพเจ้าไปทำร้ายเขาไว้ เธอมาปรากฏให้เห็นต้องแผ่เมตตาแผ่บุญกุศลไปให้ แต่ข้าพเจ้าไม่ได้แผ่ คิดไม่ทัน ออกจากสมาธิเสียก่อนถ้ายังอยู่ในสมาธิกำหนดตามรู้ต่อไป เราจะรู้ว่าไปทำร้ายเธอไว้อย่างไรท่านเจ้าคุณหลวงพ่อบอกว่า ข้าพเจ้าสมาธิแรงแต่จิตตก ขาดการกำหนด ต้องกำหนดให้ทันตามให้รู้ และให้หมั่นปฏิบัติเสมอ ๆ แล้วจะดีขึ้น

           ครั้งหนึ่งกรรมตามสนองข้าพเจ้าทันตาเห็นในชาตินี้ เมื่อข้าพเจ้าอายุประมาณ๑๐ ขวบ ได้จุดไฟเผามดตายทั้งรัง เวลาผ่านไปประมาณ ๔๐ ปี กรรมนั้นก็ตามสนอง ในคืนหนึ่งประมาณตี๓ ข้าพเจ้ากำลังนอนหลับอยู่ ก็ต้องพรวดพราดตื่นขึ้น เพราะมีตัวอะไรมากัดพอเปิดไฟดูปรากฏว่ามีมดตัวเท่ามดตะนอย สีดำปากมีเขี้ยวเหมือนก้ามปู ตัวมีขนมารุมกัดข้าพเจ้าตั้งแต่บริเวณเอวลงไปถึงขา ได้เอามือปัดออกบางพวกก็วิ่งหนีไปโดยเร็ว บางพวกก็ไม่ไป กัดติดอยู่อย่างนั้นข้าพเจ้าอยากจะเอามือถูขยี้ให้ตายให้หมด แต่ใจหนึ่งห้ามไว้ไม่ให้ทำเดี๋ยวจะเป็นเวรกรรมต่อไปอีก เลยจับดึงออก ขนาดจับดึงยังไม่ค่อยยอมปล่อยกัดติดจนเป็นแผลเลือดออกซิบ ๆ ชั่วเวลาไม่ถึง ๑ นาที มดเหล่านั้นก็หายไปหมดข้าพเจ้าไม่กล้านอนต่อ กลัวมดเหล่านั้นจะมากัดอีก เลยไปอาบน้ำเอาแป้งทาบ่ายวันนั้นข้าพเจ้าเป็นไข้ อักเสบแผลที่ถูกมดกัด ต้องทานยาอยู่ ๓ วันเวลาผ่านไปประมาณ ๒ เดือน มดก็มากัดข้าพเจ้าอีกแต่คราวนี้มากัดไม่มากเหมือนคราวแรก ข้าพเจ้ารู้ตัวแล้วเขามาทวงหนี้เพราะเราเคยทำเขาไว้ ก่อนนอนข้าพเจ้าจะนั่งสมาธิ แผ่เมตตาให้มดทุกคืนหลังจากนั้นก็ไม่มีมดมากัดอีกเลย

           เมื่อเดือนเมษายน ๒๕๓๔ ข้าพเจ้าได้พบ อาจารย์วิภา รัศมีอมรวิวัฒน์ผู้ซึ่งมีการศึกษาดีจบปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เป็นศิษย์หลวงพ่อวัดอัมพวัน และคุณแม่สิริกรินชัยด้วย อาจารย์ได้กรุณาใช้สมาธิตรวจกรรมให้ข้าพเจ้า ท่านบอกว่าข้าพเจ้าทำกรรมไว้มาก ใจร้าย (พูดเหมือนหลวงพ่อเลย) ต้องใช้เวรกรรมไปอีกนานเพราะโหดเหี้ยม ดุ ฆ่าคน ทำร้ายทั้งคนและสัตว์ทำให้เขามีความทุกข์เดือดร้อนเจ็บปวดแสนสาหัส บางรายถึงแก่ชีวิตและบอกว่าเห็นผู้หญิงคนหนึ่งถูกข้าพเจ้าทำร้ายและทรมานจนเดินไม่ได้แถมยังเอาโซ่ล่ามขาไว้แล้วเอาไปขังไว้ในกรง จนถึงแก่ความตายนอกจากนี้ยังทารุณข้าทาสหญิงชายอีกด้วย

         ฟังดูแล้วเหมือนเป็นเรื่องนิทานแต่การหมั่นเพียรปฏิบัติทำให้เชื่อว่าเป็นความจริงสิ่งลี้ลับอีกเรื่องหนึ่งที่ข้าพเจ้าประสบกับตัวเองในขณะนั่งสมาธิข้าพเจ้านั่งอยู่ที่ระเบียงหอประชุมภาวนากรศรีทิพา ข้าง ๆ พระบรมรูปของ ร. ๕นั่งไปได้ประมาณ ๕ นาที จิตสงบดิ่งลึก ทันทีนั้นข้าพเจ้าก็มี อาการหอบหายใจไม่สะดวก ต้องหายใจทางปาก ข้าพเจ้าอดทนนั่งต่อไปอาการหอบยิ่งทวีความรุนแรงหนักขึ้นเหมือนกับจะขาดใจ ข้าพเจ้าไม่ได้กำหนดตามรู้ไม่ทันกรรมกลับคิดวิตกกังวลไปว่าข้าพเจ้าเกิดเป็นโรคหอบหืดขึ้นมาอีกโรคหนึ่งแล้ว ขณะนั้นอาการหอบหนักมาก หายใจไม่ทัน ใจจะขาดอยู่แล้ว ทุรนทุราย ต้องแหงนหน้าขึ้นแล้วหายใจทางปากทนต่อไปไม่ไหวเลยลืมตาขึ้น ออกจากสมาธิอาการหอบกระสับกระส่ายอยู่นั้นหายไปเป็นปลิดทิ้งเลย เป็นไปได้อย่างไรกัน ข้าพเจ้าจึงไปเล่าให้ท่านอาจารย์ พ.อ.(พิเศษ) ทองคำ ศรีโยธิน ฟัง ท่านก็รู้ทันทีว่าเป็นอาการของกรรมท่านบอกว่าน่าเสียดาย ถ้านั่งสมาธิอยู่ต่อไปจนขาดใจไปในขณะนั้นจะดีมากจะตัดเวรตัดกรรมที่เราเคยทำกับใครไว้นั้นหมดสิ้น และจะรู้ด้วยว่าเราไปทำอะไรเขาไว้อาจจะไปอุดปากอุดจมูก หรือจับใครกดน้ำ หรือไม่ก็บีบคอเขา ทำให้เขาหายใจไม่ออกจะถึงกับตายหรือไม่ก็ตาม ข้าพเจ้ามีโอกาสใช้หนี้กรรมแล้ว แต่กลับใช้ไม่หมดเพราะออกจากสมาธิเสียก่อน ความจริงแล้ว ถ้าขาดใจตายในขณะนั่งสมาธิอยู่นั้นจริงก็จะตายเพียงแค่ความรู้สึกในสมาธิเท่านั้น ตัวจริง ๆ ไม่ได้ตายไปด้วย

         การนั่งสมาธิแต่ละครั้ง มักจะมีปรากฏการณ์แปลก ๆ มาปรากฏแก่ข้าพเจ้าอยู่เสมอ บางครั้ง จะมีดวงตาหมายคู่มาจับจ้องดูข้าพเจ้ามีทั้งดวงตาดุ โกรธ บางครั้งก็ดวงตาซีดเซียวเหมือนคนตาย มาชำเลืองดูข้าพเจ้าก็แผ่เมตตาไปให้ตามที่ท่านเจ้าคุณหลวงพ่อสอน ภาพดวงตาเหล่านั้นก็หายไปจะเป็นอยู่อย่างนี้เสมอ

         บ่ายวันหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้านั่งสมาธิอยู่บนศาลาสุธรรมภาวนา วัดอัมพวันก็มีมือเอื้อมมาจากด้านขวาจะจับแขนข้าพเจ้า มองเห็นแค่ครึ่งแขนส่วนทางด้านซ้ายก็มีผู้หญิงคนหนึ่งใส่เสื้อผ้าสีคล้าย ๆ ผ้าดิบ ยืนหันข้างให้แต่หันหน้ามามองข้าพเจ้านัยน์ตาดุ จ้องมองนัยน์ตาเขียวเลยข้าพเจ้ากำหนดตามไม่ทันอีก ยกแขนสลัดหลบมือที่เอื้อมมาจับนั้น ลืมตาขึ้นภาพนั้นก็หายไป

         ข้าพเจ้าพยายามไปปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานในรายการที่ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทยฯจัดที่วัดอัมพวันทุกปี ได้รับการอบรมจากคุณแม่สิริ กรินชัยและพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณหลวงพ่อพระภาวนาวิสุทธิคุณบัดนี้ข้าพเจ้าได้รู้ซึ้งแล้วว่า ข้าพเจ้าได้ทำกรรมไว้มากมาย และจะต้องชดใช้ข้าพเจ้าจะพยายามปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเพียรให้มากและพยายามแผ่กุศลขออโหสิกรรมจากเจ้ากรรมนายเวรเชื่อว่าสักวันหนึ่งเจ้ากรรมนายเวรจะใจอ่อน ยอมอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้าเพราะวิปัสสนากรรมฐานเท่านั้นจะช่วยข้าพเจ้าได้

         ข้าพเจ้าเคารพและศรัทธาหลวงพ่อมาก ข้าพเจ้ามีความตั้งใจไว้อย่างแน่วแน่ว่าจะต้องเดินทางไปเข้าร่วมพิธีต้อนรับปีใหม่ที่วัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรีเพื่อให้เกิดเป็นสิริมงคลแก่ตัวเอง ซึ่งท่านเจ้าคุณหลวงพ่อจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีครั้นถึงกำหนดวันเดินทาง ปรากฏว่าข้าพเจ้ามีภารกิจที่จะต้องทำ จึงได้ฝากเสื้อผ้ากับอาจารย์ลักษมีธีระชาติไปก่อน แล้วจะตามไปในบ่ายวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๓๔จะไปกับเด็กที่เป็นพี่เลี้ยงคนหนึ่งให้คอยรอรับที่วัด วันที่ ๓๐ ธันวาคมเมื่อข้าพเจ้าเสร็จธุระ ก็รีบไปจองตั๋วที่สถานีขนส่งตลาดหมอชิตส่วนเด็กที่จะเดินทางไปด้วยนั้น เกิดมีภารกิจ เดินทางไปด้วยไม่ได้ข้าพเจ้าเลยตัดสินใจไปคนเดียวเพราะนัดแล้ว เด็กได้ไปส่งที่ท่ารถซึ่งผู้คนแออัดเต็มไปหมด เนื่องจากอยู่ในช่วงเทศกาลส่งปีเก่ารับปีใหม่ข้าพเจ้าจองตั๋วรถทัวร์ปรับอากาศตั้งแต่เวลา ๑๒.๐๐ น. เศษ ปรากฏว่าเกือบจะ ๑๗.๐๐น. แล้ว ยังไม่ได้ขึ้นรถ เพราะรถแน่นทุกคัน ข้าพเจ้าแย่งขึ้นกับเขาไม่ไหวรู้สึกวิตกกังวลและไม่สบายใจเป็นอย่างมาก เพราะเย็นแล้วกว่าจะไปถึงสิงห์บุรีก็คงจะเป็นเวลากลางคืน ลงรถก็ไม่ถูก ไม่รู้จะทำอย่างไรดีไม่ไปก็ไม่ได้ 

        ข้าพเจ้าคิดสู้ อะไรจะเกิดก็ให้เกิด ต้องไปให้ได้ในคืนนี้ข้าพเจ้านึกถึงหลวงพ่อและได้ทำจิตให้สงบ ทำสมาธิขอบารมีท่านเจ้าคุณหลวงพ่อให้ช่วยคุ้มครองและช่วยให้เดินทางไปวัดได้ด้วยความปลอดภัยต่อจากนี้ก็นั่งแผ่เมตตาและส่งกระแสจิตถึงหลวงพ่อไปเรื่อย ๆ พอประมาณ ๑๗.๐๐ น. เศษรถทัวร์ไปสิงห์บุรีก็เข้ามาอีกคันหนึ่ง ข้าพเจ้าตัดสินใจไปรถคันนี้ ถึงยืนก็จะไปข้าพเจ้าขึ้นไปยืนอยู่ตรงตอนหน้ารถ รถยังไม่ทันออกก็มีผู้หญิงคนหนึ่ง หน้าตาสวยอายุไม่เกิน ๔๐ ปี นั่งอยู่ตรงที่นั่งตรงที่ข้าพเจ้ายืนอยู่ ได้ถามว่า“นั่งด้วยกันไหมคะ มีที่ว่างอีกที่หนึ่ง” ข้าพเจ้าตอบทันที “นั่งค่ะ ขอบคุณค่ะ”เมื่อเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว ก็มาคิดแปลกใจ ทำไม่มีที่ว่างเหลืออยู่อีกตอนที่ขึ้นรถมาดูแล้วก็เห็นคนนั่งเต็มหมดถ้ามีที่ว่างอยู่อย่างนี้คนที่ขึ้นมาก่อนทำไมไม่เข้าไปนั่ง? ใช่แล้ว!บารมีของท่านเจ้าคุณหลวงพ่อแน่ ๆ หลวงพ่อช่วยลูกดลบันดาลให้มีที่ว่างเหลืออยู่ให้ลูกได้นั่ง ๑ ที่ สาธุ ข้าพเจ้านึกในใจ

         ขณะที่รถวิ่งไปสองข้างทางมืดจำอะไรไม่ได้เลย ลงรถไม่ถูกเลยตัดสินใจไปลงสุดทางรถ แล้วค่อยหาทางเหมารถเข้าวัด ผู้หญิงคนที่ให้ข้าพเจ้านั่งด้วยได้ซักถามข้าพเจ้าว่าจะไปไหน ก็ได้เล่าให้เธอฟัง เธอก็แนะนำวิธีการไปเหมารถให้ พอรถเลี้ยวเข้าประตูวัด ข้าพเจ้ารู้สึกมีความอบอุ่นหายกลัว มีความปลื้มปีติชุ่มชื่นใจอย่างบอกไม่ถูก ข้าพเจ้ามาถึงวัดอัมพวันได้จริง ๆ มาคนเดียวได้

         ข้าพเจ้ายกมือขึ้นไหว้ไปตามทางโบสถ์และไหว้พระหน้ากุฏิหลวงพ่อเพราะบารมีหลวงพ่อแท้ ๆ พูดถึงสิ่งมหัศจรรย์ สิ่งลี้ลับต่าง ๆ นี้ ข้าพเจ้าเชื่อแล้วเชื่อว่ามีจริงอย่างแน่นอน ท่านเจ้าคุณหลวงพ่อจรัญเทศน์ว่าการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน มีกุศลแรงจะช่วยแก้กรรมได้ถ้าท่านผู้อ่านยังไม่เชื่อในเรื่องเหล่านี้ ลองมาปฏิบัติดูปฏิบัติอย่างจริงจังแล้วจะรู้ได้ด้วยตนเอง การกำหนดทุกอิริยาบถนั้นถือว่าเป็นการปฏิบัติอันดับหนึ่งทีเดียวท่านเจ้าคุณพระอาจารย์ใหญ่ พระธรรมธีรราชมหามุนี ก็ได้เทศน์สอนไว้ว่าการกำหนดอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกให้รู้อยู่ตลอดเวลา หายใจเข้าก็ให้รู้ว่าเราต้องตายหายใจออกก็ให้รู้ว่าเราต้องตาย แบบนี้ท่านบอกว่าเราไม่ประมาท และยังเทศน์ไว้อีกว่าถ้าอยากรวยต้องให้ทาน อยากสวยให้รักษาศีล อยากเป็นผู้มีปัญญาต้องภาวนาข้าพเจ้าจะขอยึดมั่นในการปฏิบัติเจริญสติปัฏฐาน ๔ ตลอดไปตั้งแต่ข้าพเจ้าเข้าไปปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานอยู่ที่วัดอัมพวันแล้วทำให้ความเจ็บไข้ของข้าพเจ้าทุเลาเบาคลายลงไปมาก เพราะรู้จักการกำหนด ขาก็แข็งแรงดีขึ้นด้วย

ขอขอบคุณ : dhammatharn

https://sites.google.com/site/dhammatharn

แชร์