" เบญจอำมฤต " ตำรับยาไทยใช้รักษามะเร็งตับ
เบญจอำมฤต มีความหมายว่า เป็นเครื่องยาทิพย์ ๕ อย่าง สรรพคุณมากมี หนึ่งในนั้นคือช่วยรักษามะเร็งตับ http://winne.ws/n11632
เบญจอำมฤต มีชื่อเรียกอื่นๆได้แก่ เบญจอำมพฤกษ์หรือ บุญจอำมฤตย์ เป็นตำรับยาที่มาจากคัมภีร์แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์พบบันทึกรายละเอียดส่วนประกอบ วิธีการเตรียมยา และขนาดที่ใช้ในคัมภีร์ประถมจินดา(บันทึกโรคและการรักษาสำหรับเด็ก) และ คัมภีร์ธาตุบรรจบ (บันทึกอาการและโรคเกี่ยวกับอุจจาระธาตุ) โดยมีส่วนประกอบหลักเหมือนกันแต่ในคัมภีร์ธาตุบรรจบมีตัวยาเพิ่มขึ้นอีก ๓ ชนิด(ดังรายละเอียดคัดจากคัมภีร์ดูด้านท้ายบทความ)
ที่มาของชื่อ เบญจอำมฤตซึ่งมีความหมายว่า เป็นเครื่องยาทิพย์ ๕ อย่างในตำรับ คือ มหาหิงคุ์ , ยาดำ ,รงทอง, รากตองแตก และ ดีเกลือ เป็นตัวยาหลัก โดยมีส่วนประกอบอื่นๆ เช่นลูกมะกรูด ซึ่งไม่นับใน ๕ อย่างนี้เพราะผลมะกรูดเป็นเพียงตัวช่วยในการเตรียมยาเท่านั้น แต่เป็นตัวช่วยสำคัญที่ไม่ควรหลีกเลี่ยงหรือปรับวิธีการเตรียมเนื่องจากมีผลต่อการออกฤทธิ์
สำหรับตำรับเบญจอำมฤตที่นำมาใช้กันทั่วไปในขณะนี้นั้นเป็นตำรับจากคัมภีร์ธาตุบรรจบ ซึ่งเติม พริกไทย ขิง ดีปลีซึ่งจะเรียกยาทั้ง ๓ ชนิดนี้รวมกันว่าพิกัดตรีกฏุกและมีวัตถุประสงค์ที่ใส่เพิ่มเติมเพื่อช่วยในการปรับสมดุลย์และคุมการทำงานของธาตุลม ที่อาจเปลี่ยนแปลง เช่นเกิดอาการท้องอืด หลังจากถ่าย เป็นต้น
ยาตำรับนี้มีฤทธิ์เป็นยาถ่ายอย่างแรงจากฤทธิ์ของ ดีเกลือ ตองแตก รงทอง และ ยาดำ ส่วนมหาหิงคุ์ พริกไทย ขิงดีปลี เป็นตัวยาช่วย ที่ลดอาการท้องอืดซึ่งเป็นอาการข้างเคียงที่มักเกิดตามมาหลังจากถ่ายท้อง
ดีเกลือเดิมใช้ดีเกลือไทย (โซเดียมซัลเฟต) ซึ่งอาจมีปัญหา ทำให้บวมน้ำ และมีปัญหากับไตหัวใจ ปัจจุบันจึงให้ใช้เฉพาะดีเกลือฝรั่ง เป็นสารจำพวกแมกนีเซียมซัลเฟตหรือเรียกว่า เกลือยิปซั่ม(Epsom salt) ขนาดที่ใช้ ๑๐-๑๕ กรัมต่อครั้ง วันละครั้งเดียวเป็นยาถ่ายที่ออกฤทธิ์เร็ว ภายในครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมงต้องระมัดระวังการใช้ในผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ป่วยโรคไตและผู้ป่วยที่ต้องจำกัดเกลือแมกนีเซียม
ยาดำ เป็นสารสกัดที่ได้จากการเคี่ยวยางสีเหลืองจากใบว่านหางจระเข้ปกติสารออกฤทธิ์กลุ่มแอน ทราควิโนน ในยาดำนั้น ไม่ออกฤทธิ์กระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้เมื่อกินเข้าไปก็จะเคลื่อนที่ตามการบีบตัวตามปกติของทางเดินอาหารเมื่อถึงลำไส้ตอนล่าง ร่างกายจะเปลี่ยนสารออกฤทธิ์ กระตุ้นให้ลำไส้บีบตัว จัดเป็นยาถ่ายที่ออกฤทธิ์ช้าใช้เวลาประมาณ ๖-๘ ชั่วโมง ตามปกติถ้าใช้ยาดำเพียงอย่างเดียวหรือใช้ร่วมพืชอื่นที่มีสารออกฤทธิ์กลุ่มเดียวกัน แนะนำรับประทานก่อนนอนเท่านั้นแต่การใช้ร่วมกับดีเกลือฝรั่งซึ่งเป็นสารออกฤทธิ์เร็ว หากผสมแบบธรรมดายาดำเปลี่ยนแปลงเป็นสารออกฤทธิ์ไม่ทันเพราะดีเกลือฝรั่งจะทำให้เกิดการถ่ายเสียก่อน ยาดำไม่มีฤทธิ์ แต่ในตำรับนี้มีการนำยาดำใส่ในผลมะกรูด เอาขี้วัวพอก แล้วเผาไฟ จึงทำให้เป็นไปได้ว่าสารแอนทราควิโนนในยาดำ ทำปฏิกิริยากับกรดและความร้อน กลายเป็นสารออกฤทธิ์ดังนั้นจึงสามารถออกฤทธิ์ผสมผสานกับดีเกลือฝรั่งไปพร้อมกันได้ไม่สูญเสียยาโดยเปล่าประโยชน์ เมื่อเป็นดังนี้ อาจมีบางท่านถามว่าถ้างั้นควรเตรียมยาดำแบบนี้ทุกครั้งจะทำให้ยาดำออกฤทธิ์เร็วขึ้นใช่หรือไม่ไม่ต้องรอนาน คำตอบก็คือ ถ้าใช้ยาดำอย่างเดียวไม่มีดีเกลือฝรั่งช่วยให้ยาเคลื่อนที่ไปยังลำไส้ตอนล่างอย่างรวดเร็วยาดำจะออกฤทธิ์กระตุ้นการบีบตัวของกระเพาะและลำไส้ตอนบน เกิดอาการปวดมวนท้องคลื่นไส้ อาเจียน มากกว่า การทำให้ถ่ายการเตรียมยาดำแบบนี้จะใช้เมื่อใช้ยาดำผสมกับยาที่ออกฤทธิ์เร็วแบบดีเกลือฝรั่งเท่านั้น
รงทอง หมายถึงยางสีเหลืองที่ได้จากต้นรงทอง(Garcinia hanburyi) ยางนี้กรีดจากลำต้น ทิ้งให้แห้งมีชื่อภาษาอังกฤษว่า gambogeซึ่งประกอบด้วยเรซินและกัม(สารคล้ายแป้ง)ยางรงทองเป็นยาถ่ายที่มีฤทธิ์แรงจึงต้องมีกรรมวิธีการทำให้ฤทธิ์อ่อนลงเพื่อลดอาการปวดมวน และควรใช้ในขนาดน้อยๆ คือไม่เกินมื้อละ ๖๐ มิลลิกรัมอย่างไรก็ดี กรรมวิธีเตรียมรงทองในตำรับเบญจอำมฤตย์นี้ แตกต่างจากการเตรียมตามปกติกล่าวคือ ให้ใส่ในผลมะกรูด เอาขี้วัวพอกแล้วสุมไฟจนสุกซึ่งอาจมีผลต่อสารเคมีในยางรงทองแตกต่างควรศึกษาต่อไปและขณะที่ยังไม่มีข้อเท็จจริงพิสูจน์ตามหลักวิทยาศาสตร์ควรยึดการเตรียมตามภูมิปัญญาเพื่อให้ออกฤทธิ์อย่างที่ต้องการ นอกจากนี้มีการศึกษาจำนวนมาก รายงานว่า เรซิน และสารบริสุทธิ์แยกจากยางรงทอง เช่นกรดแกมโบจิก (gambogic) แกมโบเจนนิก (gambogenic) เป็นพิษต่อเซลล์เหนี่ยวนำให้เซลล์มะเร็งตาย เช่น เซลล์มะเร็งเต้านม ปอด และ ตับ ทีมวิจัยของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์๒๕๕๕ ได้รายงานว่า ยางรงทอง สามารถยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็งตับเซลล์มะเร็งปอด เซลล์มะเร็งลำไส้ส่วนปลาย เซลล์มะเร็งปากมดลูกและเซลล์มะเร็งต่อมลูกหมากได้ โดยยางของรงทองสามารถยับยั้งเซลล์มะเร็งปอดและมะเร็งลำไส้ได้ดีที่สุด แต่เมื่อนำมาสะตุโดยห่อด้วยใบตองหรือใบบัว แล้วปิ้งไฟมีฤทธิ์อ่อนลงแต่ไม่แตกต่างกันทางสถิติ
รากตองแตก (Baliospermum solanifolium) เป็นยาถ่ายอย่างอ่อนมีบันทึกยาพื้นบ้านของอินเดียใช้รากตองแตกสำหรับรักษาอาการบวมน้ำ และดีซ่านพร้อมทั้งประกอบในตำรับรักษาอาการท้องมาน (ascites) ซึ่งเป็นไปในทิศเดียวกับการแพทย์แผนไทย
ต้นตองแตก
ตองแตกและทนดีเป็นต้นไม้ชนิดเดียวกัน ตองแตกเป็นต้นที่ขอบใบเว้าเป็นแฉก ทนดีเป็นต้นที่ขอบใบไม่เว้า
จะเห็นได้ว่ายาเบญจอำมฤตตั้งตำรับเพื่อให้เป็นยาถ่ายอย่างแรงการนำมาใช้ในการรักษาโรคมะเร็งตับนั้น เป็นการใช้ตามคัมภีร์โรคนิทานและคัมภีร์ธาตุวิภังค์ ซึ่งเป็นคัมภีร์ที่กล่าวถึงอาการผิดปกติของตับ รวมเรียกว่า ตับพิการโดยหลักการในการรักษา ต้องการให้มีการถ่าย เพื่อเอาของเสียออกก่อนแล้วจึงจ่ายยาอื่นตาม ดังนั้นจึงพบว่าอาการอึดอัด ท้องมานของผู้ป่วยมะเร็งตับดีขึ้น หลังจากกินยาเบญจอำมฤต เพราะเมื่อมีการถ่ายมากแรงกดดันในช่องท้องและอาการท้องมาน (ascites)จะลดลง ทำให้อาการอึดอัดไม่สบาย ทานอาหารไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปในทางดีขึ้น แม้ว่าจะมีการทดลองในหลอดทดลองว่าองค์ประกอบบางตัวในตำรับนี้มีฤทธิ์ฆ่าเซลล์มะเร็งแต่การทดลองนั้นเป็นการใส่สารสกัดให้สัมผัสเซลล์มะเร็งโดยตรงต่างจากการรับประทานซึ่งยาต้องผ่านการดูดซึม และผ่านทางกระแสเลือดไปยังตับโดยอาจมีการเปลี่ยนรูปหรือไม่ก็ได้ ทำให้การออกฤทธิ์ของยาอาจเหมือนหรือไม่เหมือนการทดลองในหลอดทดลอง อีกประการหนึ่งคือยาตำรับนี้เป็นยาถ่ายที่ออกฤทธิ์เร็วดังนั้นแม้ว่ายางรงทองมีสารที่ยับยั้งเซลล์มะเร็งนั้นอาจถูกขับถ่ายออกก่อนการดูดซึมดังนั้นจึงยังไม่สามารถสรุปได้ว่ายาเบญจอำมฤตสามารถยับยั้งเซลล์มะเร็งได้
อนึ่งจากแนวคิดการรักษาโรคตับของการแพทย์แผนไทยดังที่กล่าวมาเบื้องต้นนั้นการใช้ยาถ่ายเป็นยานำเพื่อกำจัดของเสียที่ค้างอยู่ ต่อมาจะใช้ยาตำรับอื่นรักษาโรคตับอย่างแท้จริงโดยอาจใช้หยุดยานี้ หรือใช้ร่วมกัน ขึ้นอยู่กับอาการของโรคและดุลยพินิจของแพทย์แผนไทยผู้รักษาหากใช้ยานี้เพียงตำรับเดียวติดต่อกันเป็นเวลานาน จะทำให้ธาตุไฟลดลงและต่อมาอาจกระตุ้นการทำงานของตับที่เป็นอวัยวะหลักในการรับผิดชอบต่อธาตุไฟต้องทำงานเพิ่มขึ้น อาจไม่เกิดผลดีต่ออาการและโรคมะเร็งตับ ดังนั้นการใช้ยาเบญจอำมฤตควรต้องเป็นตำรับที่เตรียมถูกต้องตามหลักการดั้งเดิม ควรปรึกษาแพทย์แผนไทยซึ่งต้องมีการใช้ยาตำรับอื่นๆร่วมเพื่อลดความเสี่ยงต่ออันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ยาไม่ถูกต้องอันจะส่งผลร้ายต่อผู้ป่วย อย่างไรก็ดี การรักษามะเร็งตับ ควรปรึกษาแพทย์ทั้ง ๒แผนเพื่อให้ทราบแน่ชัด ถึงข้อดีข้อเสีย ปัจจัยเสี่ยงทั้งหลาย ก่อนตัดสินใจในวิถีทางที่เกิดประโยชน์สูงสุด ความเสี่ยงน้อยที่สุดต่อไป
คัมภีร์ประถมจินดา
ยาชื่อเบญจอำมฤตขนานนี้ ท่านให้เอา มหาหิงคุ์ ๑ ยาดำ ๑ สิ่งละส่วน รงทอง ๒ ส่วน มะกรูดใหญ่ ๓ ผลแล้วจึงเอามหาหิงคุ์ รงทอง ยาดำ ทั้ง ๓ สิ่งนี้ ยัดเข้าในผลมะกรูดสิ่งละผลแล้วจึงเอามูลโคสดพอก สุมไฟแกลบให้สุกระอุดี แล้วจึงเอารากตองแตก* ๔ ส่วน ดีเกลือ๑๖ ส่วน ทำเป็นจุณ แล้วประสมกันเข้า จึงบดทั้งเนื้อมะกรูด ปั้นแท่งไว้ เอาหนัก ๑สลึง ละลายน้ำส้มมะขามเปียกกิน ลงสะดวกดีนัก
คัมภีร์ธาตุบรรจบ
ยาเบญจอำมฤตย์เอามหาหิงคุ์ ยาดำบริสุทธิ์ เอาสิ่งละ ๑ สลึง รงทอง ๒ สลึง ลูกมะกรูด ๓ ลูกเอามหาหิงคุ์ รงทอง ยาดำ ใส่ในลูกมะกรูดสิ่งละ ๑ ลูก แล้วเอาขี้โคพอกสุมไฟแกลบให้สุก เอาขิงแห้ง ดีปลี พริกไทย สิ่งละ ๑ สลึง รากทนดี* ๑ บาท ดีเกลือ ๔บาท เอาประสะกับมะกรูดที่สุมไฟไว้ บดเป็นผงละลายน้ำมะขามเปียกกิน หนักครั้งละ ๑สลึง ฟอกอุจจาระอันลามกให้สิ้นโทษ ชำระลำไส้ซึ่งเป็นเมือกมัน และปะระเมหะทั้งปวง หมายเหตุ* ตองแตกและทนดีเป็นต้นไม้ชนิดเดียวกัน ตองแตกเป็นต้นที่ขอบใบเว้าเป็นแฉกและทนดีเป็นต้นที่ขอบใบไม่เว้า
อัตราส่วนของสมุนไพร ๕ ชนิด จากทั้ง ๒ คัมภีร์เท่ากัน (๑ บาท เท่ากับ๔ สลึง)
ขอบคุณผู้ค้นคว้าเรียบเรียง รองศาสตราจารย์ รุ่งระวี เต็มศิริฤกษ์กุล บทความ อำพล บุญเปล่ง ตรวจสอบเครื่องยา และ อุบลวรรณ บุญเปล่ง ถ่ายภาพ ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล www.pharmacy.mahidol.ac.th/th/knowledge/article/197/เบญจอำมฤต-รักษามะเร็งตับ
เอกสารอ้างอิง 1.โรงเรียนแพทย์แผนโบราณวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร. แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ เล่ม ๑-๓.กทม:บริษัทบพิธการพิมพ์จำกัด, ๒๕๓๗.
2.เสงี่ยมพงษ์บุญรอด. ไม้เทศเมืองไทย. กทม: เกษมบรรณกิจ, ๒๕๒๒.
3.ประเสริฐพรหมมณี และ ปริญญา อุทิศชลานนท์. ตำราเภสัชกรรมไทยแผนโบราณสำหรับผู้อบรมศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณ ของกองวิชาการแพทย์โบราณ วัดมหาธาตุ. กทม, ๒๕๑๖.
4.Hong-BoChen, Lan-Zhen Zhou, Lin Mei, Xiao-Jun Shi, Xiao-Shan Wang, Qing-Lin Li,Laiqiang Huang. Gambogenic acid-induced time- and dose-dependent growthinhibition and apoptosis involving Akt pathway inactivation in U251glioblastoma cells. Journal of Natural Medicines 2011; 66(1):62-9.DOI:10.1007/s11418-011-0553-7.
5.FenggenYan, Mei Wang, Jiaming Li, Hui Cheng, Jingjing Su, Xiaoshan Wang, Haiyun Wu,Lunzhu Xia, Xiaoxiang Li, Hebron C Chang, Qinglin Li. Gambogenic acid inducedmitochondrial-dependent apoptosis and referred to phospho-Erk1/2 andphospho-p38 MAPK in human hepatoma HepG2 cells. Environmental toxicology andpharmacology 03/2012; 33(2):181-90.
6.Jing Zhou,Yan-Hong Luo, Ji-Rong Wang, Bin-Bin Lu, Ke-Ming Wang, Ye Tian. Gambogenic Acidinduction of apoptosis in a breast cancer cell line. Asian Pacific journal ofcancer prevention: APJCP 2013; 14(12):7601-5.
7.YihebaliChi, Xiao-Kai Zhan, Hao Yu, Guang-Ru Xie, Zhen-Zhong Wang, Wei Xiao, Yong-GangWang, Fu-Xing Xiong, Jun-Feng Hu, Lin Yang, Cheng-Xu Cui, Jin-Wan Wang. Anopen-labeled, randomized, multicenter phase IIa study of gambogic acidinjection for advanced malignant tumors. Chinese medical journal 2013;126(9):1642-6.
8.นินนาทอินทฤทธิ์, ภาณัฐ เดชะยนต์, สุมาลี ปานทอง, อรุณพร อิฐรัตน์.การเปรียบเทียบฤทธิ์ความเป็นพิษต่อเซลล์มะเร็งและฤทธิ์ต้านแบคทีเรียของรงทองและรงทองสะตุ.การประชุมเครือข่ายวิชาการบัณทิตศึกษาแห่งชาติครั้งที่ 1 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์วันที่ 18 ธันวาคม 2555.
9.ProfessorEmeritus Ashwani Kumar. Baliospermum montanum (Willd) Muell has medicinalvalue.