จากกรณี การตั้งข้อกล่าวหาการทุจริตงบประมาณสนับสนุนการศึกษาพระปริยัติต่อ พระผู้ใหญ่ถึง 5 รูป นั้น

นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส อดีตผู้ว่าการการตรวจเงินแผ่นดินได้ให้ความคิดเห็นไว้ว่า

“ ...กับกรณีงบฯการศึกษาพระปริยัติธรรม ที่ทางพศ.ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษ 5 พระเถระ
กล่าวคือเรื่องเงินทอนวัดนั้น เกิดจากเจ้าหน้าที่ พศ.ดำเนินการโดยมิชอบด้วยวิธีการหักค่าหัวคิว

ส่วนกรณีงบฯ การศึกษาพระปริยัติธรรม เป็นการกล่าวหาว่า 5 พระเถระนำงบฯนี้ไปใช้ดำเนินการในส่วนที่ไม่ใช่การศึกษาพระปริยัติธรรมซึ่งหากมองตามหลักการแล้วการตั้งงบฯ ดังกล่าว รวมทั้งการ โยกงบฯ ที่จะมาให้แก่วัดการตั้งเรื่องอนุมัติงบฯวิธีการต่าง ๆ ต้องทำโดยเจ้าหน้าที่ พศ.วัดเป็นเพียงผู้ทำเรื่องเสนอของบฯ เท่านั้นการจัดสรรงบฯ ก็ขึ้นอยู่กับงบฯที่มีอยู่และโอนให้แก่วัดตามที่จัดสรรโดยที่พระหรือวัดไม่ได้มีส่วนรู้เห็นกับวิธีการอนุมัติงบฯของ พศ."

จากรูปการณ์ดังกล่าว ทำให้เราอาจสามารถตั้งข้อสงสัยได้ว่า ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นมาจากการดำเนินการของเจ้าหน้าที่พศ. ที่ขาดความรอบคอบในหน้าที่เสียมากกว่า  

และหากจะทบทวนย้อนกลับไปในอดีต จะพบว่าการทำงานที่ผิดพลาดของข้าราชการโดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องการใช้งบประมาณนั้นมีให้เห็นอยู่แทบเป็นเรื่องปกติ 

และเมื่อเร็วๆ  กับโครงการสักการะสังเวชนียสถานอินเดีย-เนปาลระหว่างวันที่ 29 มี.ค. – 5 เม.ย. 2561  โดยได้มีการดำเนินการจ้างเหมาบริการจาก บ.เอ็นซี ฮอลิเดย์ทัวร์ จำกัด ด้วยจำนวนเงิน 4,999,500 บาท  ที่พบว่ามี นางกนิษฐา  พราหมณ์เสน่ห์”  ภรรยา ผอ.พศ. ร่วมเป็นประธานในโครงการด้วยนั้น 

เกิดเป็นกรณีร้องเรียนจากพุทธศาสนิกชนว่า  การกระทำดังกล่าว ส่อเข้าข่ายว่า ผอ.พศ. ใช้ตำแหน่งหน้าที่เอื้อประโยชน์ให้กับภรรยาของตนเองหรือไม่ ?  

เพราะเมื่อพิจารณาโดยบทบาทหน้าที่แล้ว ภรรยา ของ ผอ.พศ.อาจไม่ได้อยู่ในตำแหน่งหรือความเกี่ยวข้องกับกิจการใดๆ ของโครงการดังกล่าว

ซึ่ง พ.ต.ท. พงศ์พร  ผอ.พศ.ต้องชี้แจงเรื่องดังกล่าว ด้วยการแถลงข่าวผ่านสื่อมวลชนหรือชี้แจงด้วยหนังสือไปยัง อสคพ. ภายใน 15 วัน 

ขอบคุณภาพจาก alittlebuddha

ข่าวที่เกี่ยวข้อง
https://www.dailynews.co.th/education/641237