แรงบันดาลใจจากพระไตรปิฎก ตอน วิธีชนะคนพาล

สำนวนว่า “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” หรือ “ลูกผู้ชาย สิบปีล้างแค้นไม่สาย” เหล่านี้ล้วนเป็นบ่อเกิดแห่งการทะเลาะวิวาท อาฆาตจองเวรกันไม่จบสิ้น http://winne.ws/n23687

822 ผู้เข้าชม
แรงบันดาลใจจากพระไตรปิฎก ตอน วิธีชนะคนพาล

สำนวนว่า “ตาต่อตา  ฟันต่อฟัน”  หรือ “ลูกชาย สิบปีล้างแค้นไม่สาย” เหล่านี้ล้วนเป็นบ่อเกิดแห่งการทะเลาะวิวาท  อาฆาตจองเวรกันไม่จบสิ้น  การดำรงอยู่ในโลกใบนี้  ยากที่จะไม่พบเจอพวกคนพาล  เมื่อต้องพบต้องเกี่ยวข้อง  ก็มีโอกาสถูกรุกรานทั้งด้วยคำพูดหยาบคาย  หรือถูกทำร้าย ใส่ร้ายต่างๆ หากเราถือตามสำนวนข้างต้น หนึ่งก้อนอิฐมา ก็ปาสองก้อนอิฐกลับไป จะเป็นการก่อเวรภัยไม่จบสิ้น ทำให้เราหลุดจากเส้นทางแห่งความดี ออกข้างทางไปเป็นพวกเดียวกับคนพาล

           พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)  หลวงปู่วัดปากน้ำภาษีเจริญเคยให้หลักปฏิบัติเมื่อเจอภัยคนพาล ไว้ว่า  “ไม่สู้  ไม่หนี ทำดีเรื่อยไป” ไม่ช้าคนพาลก็จะแพ้ภัยตนเองไปในที่สุด ในเรื่องนี้มีตัวอย่างจริงที่เกิดขึ้นในสมัยพุทธกาล  เป็นเรื่องราวของพระปุณณะ  ชาวสุนาปรันตะ ที่มีหลักคิดในการอยู่ร่วมกับคนพาลอย่างยอดเยี่ยม  ดังนี้

           สมัยหนึ่ง  พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณพระเชตะวันอารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตกรุงสาวัตถี ครั้นเวลาเย็นพระปุณณะได้มากราบทูลลาเพื่อไปหลีกออกเร้น  บำเพ็ญธรรมพระพุทธองค์จึงทรงประทานโอวาทโดยย่อเรื่อง  การสำรวมอินทรีย์  ๖ แล้วตรัสถามว่า

         “ ปุณณะ  เราให้โอวาทเธอด้วยโอวาทโดยย่อนี้  เธอจักอยู่ในชนบทไหน ”

           ท่านพระปุณณะกราบทูล ว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์จักอยู่ในชนบทชื่อ สุนาปรันตะ ”

           “ ปุณณะ  พวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทเป็นคนดุร้ายนัก  เป็นคนหยาบคายนัก  ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทจักด่า  บริภาษเธอ ในเรื่องนี้  เธอจักคิดอย่างไร ”

           “ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ...  ในเรื่องนี้ข้าพระองค์จักคิดอย่างนี้ว่า “มนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทเหล่านี้ดีหนอ ดีจริงหนอที่ไม่ประหารเราด้วยฝ่ามือ ” ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ในเรื่องนี้ข้าพระองค์จักคิดอย่างนี้ ข้าแต่พระสุคตในเรื่องนี้ข้าพระองค์จักคิดอย่างนี้ ”

           “ ปุณณะ ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทจักประหารเธอด้วยฝ่ามือ  ในเรื่องนี้เธอจักคิดอย่างไร ”

           “ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ข้าพระองค์จักคิดอย่างนี้ว่า “มนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทเหล่านี้ดีหนอ ดีจริงหนอ ที่ไม่ประหารเราด้วยก้อนดิน ”

            ปุณณะ ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทจักประหารเธอด้วยก้อนดิน  ในเรื่องนี้เธอจักคิดอย่างไร ”

           “ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ข้าพระองค์จักคิดอย่างนี้ว่า “มนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทเหล่านี้ดีหนอ ดีจริงหนอ ที่ไม่ประหารเราด้วยท่อนไม้ ”

           ปุณณะ ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทจักประหารเธอด้วยท่อนไม้  ในเรื่องนี้เธอจักคิดอย่างไร ”

           “ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ข้าพระองค์จักคิดอย่างนี้ว่า “มนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทเหล่านี้ดีหนอ ดีจริงหนอ ที่ไม่ประหารเราด้วยศัสตรา ”

           ปุณณะ ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทจักประหารเธอด้วยศัสตรา  ในเรื่องนี้เธอจักคิดอย่างไร ”

           “ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ข้าพระองค์จักคิดอย่างนี้ว่า “มนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทเหล่านี้ดีหนอ ดีจริงหนอ ที่ไม่ประหารเราด้วยศัสตราที่คม ”

           ปุณณะ ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทจักปลงชีวิตเธอด้วยศัสตราที่คม  ในเรื่องนี้เธอจักคิดอย่างไร ”

           “ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ข้าพระองค์จักคิดอย่างนี้ว่า “ พระสาวกทั้งหลายของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นอึดอัดระอา รังเกียจอยู่ด้วยร่างกายและชีวิต แสวงหาศัสตราเครื่องปลงชีวิตก็มีอยู่ เราได้ศัสตราเครื่องปลงชีวิตที่ไม่ได้แสวงหาเลย ”

          “ ดีละ  ดีละ ปุณณะ เธอประกอบด้วยความข่มใจและความสงบใจนี้ จักสามารถอยู่ในสุนาปรันตชนบทได้ ปุณณะเธอรู้เวลาอันสมควรในบัดนี้เถิด ”

          ครั้งนั้น ท่านพระปุณณะชื่นชมยินดีพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล้วลุกขึ้นจากอาสนะ  ถวายอภิวาท กระทำประทักษิณ  เก็บเสนาสนะเรียบร้อยแล้วถือบาตรและจีวรหลีกจาริกไปทางสุนาปรันตชนบท  เมื่อจาริกไปโดยลำดับก็ถึงสุนาปรันตชนบท

           ได้ยินว่า ท่านพระปุณณะอยู่ที่สุนาปรันตชนบทนั้นในระหว่างพรรษานั้น  ท่านให้ชาวสุนาปรันตชนบทนั้นในระหว่างพรรษานั้น  ท่านให้ชาวสุนาปรันตชนบท  แสดงตนเป็นอุบาสกประมาณ ๕๐๐  คน แสดงตนเป็นอุบาสิกาประมาณ ๕๐๐ คน ระหว่างพรรษานั้นเหมือนกัน ท่านปุณณะได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ด้วยวิชชา ๓ คือ ระลึกชาติได้  มีตาทิพย์ เห็นการไปเกิดมาเกิด ของสัตว์ทั้งหลาย  และทำอาสวะกิเลสให้สิ้นไปได้  และสมัยต่อมาก็ได้ปรินิพพาน

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า  “ต้องเอาชนะคนไม่ดีด้วยความดี”  แต่จะทำได้อย่างนั้น  จุดเริ่มต้นที่สำคัญคือ การระงับใจมิให้เกิดความโกธรแค้นต่อภัยที่เกิดจากคนพาลเสียก่อน  ถือ หลักว่า “โกธรคือโง่ โมโหคือบ้า”  แล้วตอบโต้ด้วยการทำความดีให้หนักขึ้น  ก็จะเกิดเป็นตบะบารมีที่จะป้องกันระงับภัยที่จะเกิดขึ้นอีก  จนคนพาลเกิดสำนึกเปลี่ยนจิตกลับใจ  หรือแพ้ภัยตนเองไป  จึงจะได้ชื่อว่า  ชนะด้วยความดี

  

แรงบันดาลใจจากพระไตรปิฎก

โดยพระมหาเถระ รุ่นปี พ.ศ. 2534 หน้า  47 - 51

แชร์