กฎหมายกับกฎแห่งกรรมแตกต่างกันอย่างไร?

กฎหมายเป็นสิ่งที่มนุษย์ในสังคมหนึ่ง ๆ ตกลงกันและกำหนดขึ้นเป็นระเบียบปฏิบัติของคนในสังคม ส่วนกฎแห่งกรรมนั้นไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์แต่ละคนหรือชนแต่ละกลุ่มกำหนดขึ้น แต่เป็นกฎที่คอยควบคุมความเป็นไปของพฤติกรรมมนุษย์ http://winne.ws/n24061

1.0 พัน ผู้เข้าชม
กฎหมายกับกฎแห่งกรรมแตกต่างกันอย่างไร?

กฎหมายกับกฎแห่งกรรมแตกต่างกันอย่างไร?

       กฎหมายเป็นสิ่งที่มนุษย์ในสังคมหนึ่ง ๆ ตกลงกันและกำหนดขึ้นเป็นระเบียบปฏิบัติของคนในสังคม เช่นกฎหมายประเทศไทยก็เป็นเรื่องที่คนไทยตราขึ้นมา โดยมีการเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภาไปร่วมกันร่างกฎหมายหรือพระราชบัญญัติแต่กฎหมาย เช่นพระราชกฤษฎีกาหรือพระราชกำหนดร่างโดยคณะรัฐมนตรีนอกจากนี้มีระเบียบบางอย่างที่ออกโดยกระทรวงหรือหน่วยงานซึ่งกฎหมาย พระราชบัญญัติ พระราชกฤษฎีกา พระราชกำหนดหรือระเบียบปฏิบัติของแต่ละหน่วยงานก็มีศักดิ์และสิทธิ์ต่างกันไป  นอกจากนี้กฎหมายของแต่ละประเทศก็ไม่จำเป็นต้องเหมือนกันแต่ละสังคมต่างก็มีกฎของตัวเอง  นี้คือเรื่องของกฎหมายโดยย่อ  ส่วนกฎแห่งกรรมนั้นไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์แต่ละคนหรือชนแต่ละกลุ่มกำหนดขึ้น  แต่เป็นกฎที่คอยควบคุมความเป็นไปของพฤติกรรมมนุษย์ว่า  ถ้าทำอย่างนี้แล้วจะเกิดผลอย่างไร  ซึ่งความจริงกฎแห่งกรรมไม่ได้มีผลเฉพาะมนุษย์เท่านั้น แต่ยังควบคุมพฤติกรรมสรรพสัตว์ทั้งหลายด้วย  ไม่ว่าเทวดา พรหม หรือสัตว์ต่าง ๆ ถ้าใครทำสิ่งที่ดีก็เป็นกรรมดี  และจะได้รับผลดีตอบสนอง  ถ้าทำสิ่งไม่ดีก็เป็นกรรมชั่ว  จะมีวิบากที่ร้ายแรงตอบสนอง  มนุษย์ก็เช่นกัน  ไม่ว่าเป็นคนชาติไหน  นับถือศาสนาอะไร  มีความเชื่ออย่างไร  ล้วนอยู่ใต้กฎแห่งกรรมเหมือนกันทั้งสิ้น

       กฎแห่งกรรมไม่ใช่เรื่องของความเชื่อแต่เป็นความจริงที่มีผลกับคนทุกศาสนา แม้คนนั้นไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ ก็ต้องตกอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรมเหมือนกัน เพราะกฎแห่งกรรมนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนว่า  พระองค์ไม่ใช่ผู้บัญญัติขึ้น แต่เมื่อพระองค์ตรัสรู้แล้วก็ทรงไปรู้ไปเห็นความจริงว่ากฎแห่งกรรมมีอยู่และเมื่อทรงได้เห็นความจริงแล้วว่าทำอย่างไรเป็นบุญ  ทำอย่างไรเป็นบาป  ก็ทรงนำมาสั่งสอนมนุษย์  เพื่อจะได้หลีกเลี่ยงไม่ทำความชั่ว  และจะได้ตั้งใจทำความดี  ทำใจให้ผ่องใส สุดท้ายจะได้พ้นจากกิเลสอาสวะ แล้วเข้าพระนิพพานเพราะฉะนั้นกฎแห่งกรรมก็คือกฎแห่งความจริงที่ไม่ขึ้นกับความเชื่อ  ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ต้องเจอ  และที่สำคัญก็คือ  เราจะเชื่อตอนเป็นหรือจะไปเห็นตอนตาย  ถ้าเชื่อตอนยังมีชีวิตอยู่เราจะได้ไม่ทำบาปแล้วตั้งใจทำบุญ  แม้อาจยังไม่เชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์  เพราะยังไม่เห็นว่านรกเป็นอย่างไร  ก็เชื่อเผื่อเหนียวไว้ก่อนแล้วกัน  เพราะถ้าเราเชื่อตอนเป็น เรายังมีทางแก้ไขได้อะไรที่ไม่ดีก็อย่าไปทำ  ที่เคยทำมาแล้วลืม ๆ ไปเสีย  แล้วตั้งใจทำความดีไปชดเชย  แต่ถ้าตอนมีชีวิตอยู่ไม่เชื่อ  พอตายแล้วตกนรกไปเจอพญายมราช  ถึงตอนนั้นจะกลับตัวก็ไม่ทันแล้ว  ดังนั้นเราต้องเลือกแล้วว่า  จะเชื่อตอนเป็นหรือว่าจะไปเห็นตอนตาย  ถ้าให้แนะนำขอบอกว่าเชื่อดีกว่า  แล้วบาปกรรมก็อย่าไปทำเลย ทำความดีเยอะ ๆ จะได้ไปสวรรค์กัน  ถ้าบุญเราเต็มที่เมื่อไรหมดกิเลสเมื่อไร  จะได้ไปนิพพานกัน

กฎหมายกับกฎแห่งกรรมแตกต่างกันอย่างไร?

ผู้คนส่วนใหญ่เกรงกลัวกฎหมายหรือกฎแห่งกรรมมากกว่ากัน?

       ถ้าในหมู่คนที่ยังไม่ค่อยรู้เรื่อง  เขาก็ยังไม่เชื่อว่ากฎแห่งกรรมมีจริง  แต่ในเรื่องของกฎหมายเขาสัมผัสได้  ถ้าทำผิดกฎหมายเดี๋ยวถูกปรับ  บางทีก็ติดคุก เขาจะเกรงกลัวกฎหมายมากกว่า แต่ถ้าเป็นคนที่เข้าใจความเป็นจริงเขาจะกลัวกฎแห่งกรรมมากกว่า  ถ้าจะถามว่าพระอาทิตย์กับไฟในเตา  คนกลัวความร้อนของอันไหนมากกว่ากัน  คนทั่วไปจะรู้สึกว่าไฟในเตาน่ากลัว  เอามือแหย่เข้าไปเดี๋ยวจะไหม้และรู้สึกว่าไฟในเตาร้อนกว่าดวงอาทิตย์อีก  แต่ที่จริงดวงอาทิตย์ร้อนกว่ามาก  กฎแห่งกรรมก็เหมือนความร้อนจากดวงอาทิตย์  ที่ร้อนมากกว่าเยอะ  แต่อาจจะไกลตัว  ยังสัมผัสไม่ได้ทันที  ส่วนไฟในเตาใกล้ตัวกว่า  ถ้าเอามือแหย่เข้าไปพองทันที

       กฎหมายกับกฎแห่งกรรมก็คล้าย ๆ กันแต่ว่าเราชาวพุทธทุกคนรู้หลักนี้แล้ว ก็ต้องไม่ทำผิดทั้งกฎหมายและกฎแห่งกรรม และให้ตระหนักไว้ลึก ๆ ว่า  กฎแห่งกรรมน่ากลัวกว่ากฎหมายเยอะ  เพราะกฎหมายลงโทษได้นหนักสุด คือประหารชีวิต  รองลงมาก็จำคุกตลอดชีวิต  หรือจำคุกตามระยะเวลาที่ได้รับโทษ  หรือจ่ายค่าปรับ  ซึ่งโทษหนักที่สุด คือ ประหารชีวิตนั้น โดนประหารแค่ครั้งเดียวเมื่อตายก็จบกันแต่ถ้าโดนลงโทษตามกฎแห่งกรรม พอตายแล้วก็จะมีชีวิตขึ้นมาใหม่ด้วยอำนาจของกรรม  แล้วโดนลงทัณฑ์ทรมานต่อ  ตายเกิดตายเกิดอย่างนี้วันละหลายล้านหน  เทียบกับกฎแห่งกรรม  กฎหมายเหมือนกับของเด็กเล่นไปเลย ถึงได้ถามว่าจะเชื่อตอนเป็นหรือว่าจะไปเห็นตอนตาย  จะปรับปรุงแก้ไขในขณะมีชีวิตอยู่หรือว่าจะดื้อถือดีไม่เชื่อเรื่องนรก  สวรรค์ แล้วก็ทำสิ่งที่ผิด ๆ สุดท้ายพอตายแล้วตกนรก  ตอนนั้นจะบอกว่าเชื่อ  จะไม่ทำอีกแล้ว  ก็สายเกินไป

กฎแห่งกรรมมีการลดโทษให้คนที่ทำบาปบ้างไหม?

       กฎแห่งกรรมไม่มีการลดโทษ  แต่ถ้าเราทำผิดแล้วสำนึกผิด  และพยายามทำความดีมาชดเชย  วิบากกรรมนั้นก็จะลดหย่อนลง  ถ้าเปรียบสิ่งไม่ดีที่เราทำลงไปเหมือนกับการที่เราเติมเกลือลงไปในน้ำ  แล้วเราสำนึกผิด  หยุดการทำบาป ไม่เติมเกลือ  แต่สร้างบุญเยอะ ๆก็เหมือนกับเติมน้ำลงไปเยอะ ๆ น้ำเกลือก็จะเจือจางลง  ความเค็มจะลดลง  วิบากกรรมที่ตามมาก็จะทุเลาลง  แต่บาปที่ทำไปแล้วยังมีอยู่แต่ฤทธิ์อ่อนลงถ้าเราสร้างบุญเยอะๆ จะรอให้คนอื่นมาอภัยไม่มีหรอก  มีแต่ต้องสร้างบุญด้วยตัวของเราเองเยอะๆ แล้วหยุดสร้างบาปให้บุญไปเจือจางให้บาปอ่อนลง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงตรัสว่า “อตฺตา หิอตฺตโน นาโถ” คือเราต้องพึ่งตนเอง คนอื่นช่วยเราไม่ได้  เราต้องละชั่วทำดี  แล้วทำใจให้ผ่องใส  อย่างนี้พอจะแก้ไขได้

       ดังตัวอย่างเรื่องของพระเจ้าอชาตศัตรูที่ไปคบกับพระเทวทัต  จนสุดท้ายจากเจ้าชายที่เป็นคนดีก็ฆ่าพ่อ  คือพระเจ้าพิมพิสารเพื่อหวังจะขึ้นบัลลังก์ พอฆ่าพ่อก็เท่ากับว่าทำอนันตริยกรรม ซึ่งเป็นกรรมที่หนักมากอนันตริยกรรมมีทั้งหมด 5 อย่าง คือ 1. ฆ่าพ่อ 2. ฆ่าแม่ 3. ฆ่าพระอรหันต์ 4. ทำร้ายพระพุทธเจ้าห้อเลือด 5. ทำสังฆเภท คือยุให้พระทะเลาะกัน  ให้สงฆ์แตกกัน

       กรรม 5 อย่างนี้อย่าไปทำเด็ดขาด  อย่าทำทั้งโดยตรงหรือโดยอ้อม การที่เราไปโจมตีพระสงฆ์รูปนั้นรูปนี้ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์พูดไปพูดมาจนพระท่านเข้าใจผิด  แตกกันขึ้นมา เราเสร็จเลย  เป็นอนันตริยกรรม  ถึงแม้ท่านจะไม่ถึงกับแตกกัน  แค่บาดหมางกันไม่ค่อยชอบใจกัน  เราก็เริ่มมีความเสี่ยงแล้วอย่าทำเด็ดขาด

       พระเจ้าอชาตศัตรูฆ่าพ่อตามแรงเชียร์ของพระเทวทัต  เท่ากับทำอนันตริยกรรม  นั่นคือ ปิดสวรรค์  ปิดนิพพานเลย ชาตินั้นจะทำดีเท่าไรก็ตาม  ตกนรกแน่นอน ไม่มีทางที่จะขึ้นสวรรค์ได้ ไม่มีทางบรรลุธรรมหรือนิพพานได้ แต่ชาติต่อไปยังมีสิทธิ์ ชาตินั้นตายแล้วต้องตกนรกก่อน ตามปกติพระเจ้าอชาตศัตรูต้องไปอเวจีมหานรก แต่เนื่องจากพระองค์คิดได้ภายหลัง เพราะได้กัลยาณมิตร  คือหมอชีวกโกมาภัจจ์  มาแนะนำให้พระองค์ไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า เมื่อได้ฟังธรรมจากพระพุทธองค์ก็เกิดความเลื่อมใสศรัทธา  ถือพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต  เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว พระองค์ได้เป็นเอกอัครศาสนูปถัมภกในการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 1ทำบุญใหญ่ขนาดนั้น  แต่ตายไปแล้วก็ยังตกนรกอยู่ดีแต่บุญนี้ช่วยให้ไม่ต้องไปอเวจีมหานรก  ไปแค่โลหกุมภีนรก  ซึ่งก็น่ากลัวมาก  แต่เทียบกับอเวจีมหานรกแล้วดีกว่ากันเยอะ  ดังนั้นคนที่ทำผิดแล้ว  ถ้ากลับตัวกลับใจ  ตั้งใจทำความดีก็จะทำให้วิบากกรรมหนักอ่อนกำลังลง เป็นการลดหย่อนโทษโดยการทำความดีด้วยตัวของเราเอง

กฎหมายกับกฎแห่งกรรมแตกต่างกันอย่างไร?

เมื่อผ่านยุคสมัยไป  กฎหมายอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ กฎแห่งกรรมมีการเปลี่ยนแปลงไหม?

       กฎแห่งกรรมไม่มีทางเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้เลย  คงตัวอยู่อย่างนั้น  พระพุทธเจ้าทรงไปเห็นกฎแห่งกรรม  และทรงบอกเราว่า  อกุศลกรรมบถ 10 ทำแล้วจะเกิดอกุศลเช่น ฆ่าสัตว์ลักทรัพย์  ประพฤติผิดในกามพูดเท็จ พูดคำหยาบ ส่อเสียด เพ้อเจ้อ เป็นต้น ปัจจุบันผ่านมาสองพันกว่าปีแล้วก็ยังคงเป็นอย่างนั้นอีกสองหมื่นปี สองแสนปีหรือสองล้านปี  ก็ยังคงเป็นอย่างนั้นแม้ในยุคพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อน ๆ ก็เหมือนกัน กฎแห่งกรรมก็เป็นกฎเดียวกันไม่เคยเปลี่ยนแปลง

กฎแห่งกรรมแต่ละประเทศต่างกันไหม ?

       กฎแห่งกรรมของคนทุกชาติทุกศาสนาก็คือ  กฎแห่งกรรมเดียวกัน  เพราะเป็นกฎที่ควบคุมสิ่งมีชีวิตทั้งปวง  ไม่ได้เกี่ยวเลยว่าคนละชาติคนละภาษาแล้วจะมีกฎแห่งกรรมที่ต่างออกไป  อย่าว่าแต่คนเลย  ขนาดสัตว์เดรัจฉานก็ยังต้องอยู่ใต้กฎแห่งกรรมอันเดียวกัน  ต่อให้มันพูดไม่ได้  ไม่รู้อิโหน่อีเหน่  ไม่ว่าจะเป็นมดแมลงวัน  ยุง หรือตัวอะไรก็ตาม  มีสติปัญญามากน้อยแค่ไหนก็ตาม  ก็ต้องตกอยู่ใต้กฎแห่งกรรมเช่นเดียวกัน  กฎแห่งกรรมจึงเป็นกฎสากลที่ครอบคลุมความเป็นไปของสิ่งมีชีวิตทั้งมวล

กฎแห่งกรรมมีการลดหย่อนผ่อนโทษให้เด็กที่กระทำความผิดไม่รู้ตัวไหม?

       กฎแห่งกรรมไม่ได้มองที่อายุ  แต่มองที่เจตนา  ถ้าทำไปด้วยเจตนาที่แรงกล้า  ถ้าเป็นกรรมดีบุญก็เยอะ  ถ้ากรรมชั่วบาปก็เยอะ  แต่ถ้าเจตนาเบาบาง  ทำแบบไม่ค่อยตั้งใจ  ถ้าทำกรรมชั่วบาปก็จะน้อย  ทำความดีแบบไม่ได้ตั้งใจ  ทำแบบเสียไม่ได้  บุญก็ได้นิดหน่อย  สรุปแล้วอยู่ที่ความตั้งใจ อยู่ที่เจตนา

       เพราะฉะนั้น  ถ้าเด็กทำตามเพื่อนแบบไม่ค่อยตั้งใจเท่าไร  อันนี้กรรมก็เบาหน่อย  แต่ถ้าเป็นเด็กที่ร้ายกาจมาก  วางแผนทำชั่วโดยเจตนา  อันนี้กรรมหนักไม่แพ้ผู้ใหญ่เหมือนกันต้องดูที่เจตนา  ไม่ได้ดูที่อายุ

ทำอย่างไรถึงจะรอดพ้นจากการลงโทษของกฎแห่งกรรม?

       โดยย่อก็คือ ละชั่ว ถามว่าละชั่วต้องทำอย่างไรอย่างน้อยที่สุดก็คือ ให้รักษาศีล 5

1. ไม่ฆ่า ไม่ทรมานสัตว์

2. ไม่ลักทรัพย์ ไม่ฉ้อโกง

3. ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่ล่วงละเมิดลูกเมียคนอื่น

4. ไม่พูดปด ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบไม่พูดเพ้อเจ้อ

5. ไม่ดื่มสุราทุกชนิด ไม่ใช้ยาเสพติดทุกอย่าง

นอกจากนี้ก็จะต้องไม่เกี่ยวข้องกับอบายมุขทั้ง 6 อย่าง คือ

1. ไม่ดื่มน้ำเมา

2. ไม่เที่ยวกลางคืน

3. ไม่ดูการละเล่นเป็นนิจ จนเสียการเสียงาน

4. ไม่เล่นการพนัน

5. ไม่คบคนชั่วเป็นมิตร

6. ไม่เกียจคร้านการทำงาน

          รวมทั้งต้องตั้งใจให้ทาน  มีเมตตากรุณาต่อทุก ๆ คนมีน้ำใจเอื้อเฟื้อ  ช่วยเหลือทุกคนอย่างดี  แล้วทำสมาธิภาวนาให้ใจผ่องใส  ถ้าปฏิบัติอย่างนี้แล้วก็สบายใจได้ในเรื่องกฎแห่งกรรมส่วนวิธีการตรวจสอบว่าสิ่งไหนทำแล้วดีสิ่งไหนไม่ดี  ถ้าทำแล้วใจขุ่นมัว  เศร้าหมองแสดงว่าไม่ดี  และถ้าใครใจใสก็จะไปสวรรค์ถ้าใครใจหมองก็จะต้องไปอบายพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสรุปไว้อย่างนี้

        ถ้าเราตั้งใจละชั่ว  ใจเราก็จะไม่หมองแล้วพอทำความดี  ใจเราก็จะเริ่มสว่างขึ้น ถ้าจะทำใจให้ผ่องใสโดยตรงเลยก็ต้องทำสมาธิภาวนาให้ใจใสสว่าง  ถ้าอย่างนี้ไปดีแน่นอนสบายใจได้

ขอบคุณธรรมะจาก หนังสืออยู่ในบุญ

ขอบคุณภาพจาก www.dmc.tv

ขอบคุณภาพจาก https://pixabay.com/

 

แชร์