"มหาสติปัฏฐานสูตร"พุทธทัศน์ว่าด้วย...จิตตานุปัสสนา
ภิกษุนั้นมีสติปรากฏอยู่เฉพาะหน้าว่า “จิตมีอยู่” ก็เพียงเพื่ออาศัยเจริญญาณ เจริญสติเท่านั้น ไม่อาศัย (ตัณหาและทิฏฐิ) อยู่ และไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไร ๆ ในโลก http://winne.ws/n24754
บทความธรรมะในหัวข้อสติปัฏฐานสูตร ซึ่ง Naga King ได้ถ่ายทอดธรรมะจากพระไตรปิฎกโดยยกมาให้ศึกษาอย่างละเอียด ต่อเนื่องมาถึง "จิตตานุปัสสนา" การตามเห็นจิตในจิตเป็นเช่นไร หวังว่าคงจะให้ประโยชน์กับผู้ปฏิบัติธรรมไม่มากก็น้อย
พุทธทัศน์ว่าด้วย...จิตตานุปัสสนา ?
@ สำหรับหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนานั้นดูเหมือนว่าจะเน้นหรือให้ความสำคัญกับสองเรื่องเป็นหลักๆ ก็คือ
(๑) เรื่องของกาย หรือรูปที่เป็นส่วนของสสารหรือวัตถุที่เป็นที่ประชุมของธาตุทั้ง ๔ คือดินน้ำลมและไฟก่อตัวกันขึ้นมาเป็นร่างกายหรือรูปอันเป็นส่วนประกอบของชีวิตส่วนหนึ่ง
(๒) จิต หรือนาม หมายถึงสภาวะที่เป็นความคิด ตัวคิดที่สัมผัสหรือจับต้องไม่ได้ ภาษาพระเรียกว่า "นาม" หรือนามธรรม" เพราะสิ่งนั้นไม่สามารถที่จะนำมาแสดงให้เห็นว่ามันรูปร่างอย่างไร
แม้ไม่มีรูปร่างแต่พระพุทธศาสนาก็ยอมรับว่านั่นเป็นสิ่งที่มีอยู่จริงเหตุที่ยอมรับเช่นนั้นเพราะจิตหรือนามนี้มีผลต่อรูปหรือกายมากในฐานะที่เป็นผู้นำหรือผู้กุมบังเหียนให้กายทำในสิ่งที่จิตหรือนามนี้คิด เมื่อจิตดิ้นรนกายย่อมดิ้นรนตามไปด้วย ไม่มีหรือยากที่จะเห็นว่าเมื่อจิตดิ้รนรนแล้วกายหรือรูปจะนิ่งไม่ไหวติง
ในแง่ของความสัมพันธ์เราจะพบว่า กายกับจิตนั้นเป็นสิ่งที่มีความสัมพันธ์กันในฐานะที่เป็น "เหตุเป็นปัจจัยอิงอาศัยกันเกิดตามหลักอิทัปปัจจยตาหรือปฏฺจจสมุปบาท" ท่านว่ากายกับจิตตามปกติจะไม่แยกจากกันจะมีที่แยกจากกันอยู่ในการณีของ (๑)ฝัน (๒)ตาย (๓) เข้าสมาธิหรือเจริญฌานเพื่อไปดูนั่นดูนี่ โดยที่กายไม่ได้ไปจะไปได้เพียงจิตเท่านั้น ส่วนในช่วงเวลาปกติกายกับจิตจะทำหน้าที่ประสานกัน ไม่แยกจากกัน
@ ในการดำเนินชีวิตของเรานั้น จิตมีส่วนที่สำคัญมากในการที่จะทำหน้าที่คิดหรือแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิต จิตทำหน้าที่คิดและตัดสินเรื่องราวต่างเพื่อให้กายได้ทำหน้าที่ที่ถูกต้อง เช่น เมื่อหิวก็เดินไปกินข้าว หรือเมื่อถึงเวลาทำงานก็จะเดินทางไปทำงานตามความคิดของตน ดังนั้น จิตจึงมีความสำคัญมาก
@ พระพุทธศาสนาได้ให้ความสำคัญในเรื่องจิตในหลายประการ ประการแกที่เห็นได้ก็คือพระพุทธศาสนาสอนว่า "จิต"นั้นมีความที่จะต้อง "ฝึกฝน"เพื่อให้มีความเหมาะสมในการทำงานเพื่อที่จะสร้างประโยชน์ให้เกิดกับตนเองและคนอื่น หากไม่ฝึกฝนจิตใจก็จะทำให้
(๑) จิตเกิดความเศร้าหมอง คือคิดแต่เฉพาะในเรื่องที่เป็นทุกข์เป็นปัญหาวิตกกังวล ภาษาปัจจุบันนี้เรียกว่าจิตซึมเศร้าไม่สดใส
(๒) จิตจะกระด้าง คือการที่จิตตกไปในอารมณ์ความโกรธ อาฆาต มุ่งร้ายมุ่งแต่จะทำลายหรือทำร้ายผู้อื่นไม่มีเมตตา จิตประเภทนี้จะกระด้าง
(๓) จิตจะหยาบ คำว่าจิตหยาบคือ จิตที่คิดแต่เรื่องลามก หรือการเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นไม่คิดจะให้มีแต่จะเอาอย่างเดียว แบบนี้เรียกว่าจิตหยาบ
(๔) จิตจะไหลไปสู่อารมณ์ฝ่ายต่ำ คือ คิดแต่ความสุขสบายไม่คิดสร้างสรรค์หรือมุ่งที่จะแก้ไขปัญหาแต่คิดเฉพาะเรื่องที่จะมีความสุข สบาย เช่น การขี้เกียจไม่ทำงาน หลีกความลำบากเป็นต้น เมื่อจิตไม่ได้รับการฝึกฝนก็จะมีสภาพไม่แตกต่างไปจากที่ผมพูดไว้นี่แหละ ดังนั้น พระพุทธองค์จึงทรงเน้นในเรื่องของการฝึกจิตเป็นอย่างมาก
จิตตานุปัสสนาในมหาสติปัฏฐานสูตร ?
ด้วยความจำเป็นและความสำคัญที่จำเป็นจะต้องฝึกฝนจิตดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมเพื่อการหลุดพ้นหรือเพื่อการศึกษาและพัฒนาตนเองนั้น พระพุทธองค์จึงนำเรื่องจิตนี้มาเป็นหนึ่งในงค์ประกอบของการฝึกฝนพัฒนาชีวิตของเราไว้ในหลักการฝึกฝนหรือการปฏฺบัติธรรมในมหาสติปัฏฐานสูตรเป็นข้องที่ ๓ ในจำนวน ๔ ข้อ คือ กาย เวทนา จิต และธรรม
ซึ่งวันนี้เราจะมาพูดเกี่ยวกับการเอาสติมาพิจารณาจิต คือเมื่อปฏฺบัติธรรมไปแล้ว จิตเราอาจจะวอกแวกเนื่องจากจิตเรานั้นเหมือนลิง ซือหงอคง ที่กวัดแกว่งไม่อยู่กับที่ไปมาอย่างรวดเร็ว แว็บไปแว็บมายากที่จะจับให้อยู่กับที่ได้ พระพุทธองค์ตรัสว่า
เมื่อไหร่ก็ตามที่คนเราตามใจจิตตลอดเวลา เมื่อนั้น จิตจะพาเราลำบากหรือก่อให้เกิดความทุกข์เพราะมันจะพาเราไปคิดเรื่องต่างๆไปหาอารมณ์ที่มันชอบเมื่อถึงจุดอิ่มตัวมันจะพาเราไปทำร้ายคนอื่นได้
ดังนั้น จึงควรที่มนุษย์จะต้องนำเอาจิตมาฝึกหรือเข้าไปฝึกจิตด้วยการหาวิธีจับให้มันอยู่นิ่งๆ โดยการใชอุบายโกศลหรือกุศโลบายที่จะทำให้มันอยู่นิ่งได้
(๑) จะต้องมีอุปกรณ์ คือสิ่งที่จะผูกมัดจิตไว้ได้ อุปกรณฺช์นั้นก็คือ "สมาธิ"การนั่งสมาธิด้วยการกำหนดให้จิตคิดแต่เรื่องเดียวผ่านการบริกรรม เช่น ระโชหะระนังๆๆๆๆ เป็นต้น
(๒) จะต้องมีวิธีการที่จะต้องนำมาใช้เพื่อไปตามดูจิตว่ามันจะไปอย่างไรและเมื่อมันหนีออกไปก็สามารถที่จะตามกลับมาได้ วิธีการตามจิตให้กลับสู่ที่ตั้งนี้ก็คือ สติ และสัมปชัญญะ สติและสัมปชัญญะนี้เป็นเพียงสิ่งเดียวที่จะ (๑)ตามดูจิต (๒) ดึงจิตกลับสู่ที่ตั้ง ได้
ในมหาสติปัฏฐานสูตรนี้พระพุทธองค์ทรงพิจารณาเห็นว่า จิตมีอยู่หลายสภาวะ ซึ่งเป็นผลมาจากการฝึกจิต หลายคนพัฒนาจิตไปสู่ที่หรือระดับสูงได้หลายคนยังไม่สามารถที่จะพัฒนาจิตไปสู่ระดับที่สูงได้ ซึ่งแต่ละคนนั้นก็มีสภาวะจากการปฏิบัติธรรมที่เป็นไปต่างๆนาๆอย่างหลากหลาย ไม่เหมือนกัน
เมื่อมาปฏฺบัติธรรมนี้พระพุทธองค์จึงทรงสอนให้ใช้ "สติและสัมปชัญญะ"ในการตามดู ตามรู้จิต และพิจารณาปล่อยวางจิตในแต่ละขณะนั้นไม่เข้าไปยินดีหรือเข้าไปยินร้ายในสภาวะของจิตที่เกิดขึ้นนั้น เพราะเมื่อคนเรามาปฏิบัติธรรมบางคนจิตสงบมีความสุขก็ติดสุขไป
บางคนมีความทุกข์ที่เกิดจากการปฏิบัติธรรมก็ทุกข์ทรมานไปที่สุดการไปติดสุขหรือทุกข์ที่เกิดจากผลขอการทำงานของจิตก็จะทำให้การปฏิบัติธรรมนั้น (๑) ล้มเหลว (๒) ไม่รู้สภาวะที่แท้จริงของจิต (๓)ไม่สามารถยกจิตหรือพัฒนาจิตไปสู่ระดับที่สูงขึ้นไปได้ ดังนั้น เมื่อปฏฺบัติธรรมไปแล้วจิตมันเป็นอย่างไรให้
(๑) ตามไปรู้และพิจารณาสภาวะของจิตนั้นว่ามันอยู่ในสภาวะอย่างไร ดังปรากฏในพระพุทธพจน์ว่าจิตมีราคะ ก็รู้ว่าจิตมีราคะ จิตปราศจากราคะ ก็รู้ว่าจิตปราศจากราคะ จิตมีโทสะ...จิตปราศจากโทสะ ...จิตมีโมหะ ...จิตปราศจากโมหะ ...จิตหดหู่ ...จิตฟุ้งซ่าน ...จิตเป็น มหรคต ...จิตไม่เป็นมหรคต ...จิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า ...จิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า ...จิตเป็นสมาธิ ...จิตไม่เป็นสมาธิ ...จิตหลุดพ้น ...จิตไม่หลุดพ้น ก็รู้ว่าจิตไม่หลุดพ้น(ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๘๐/๓๑๔)
(๒) พิจารณาและปล่อยวาง เมื่อเข้าไปสู่แล้วก็พิจารณาต่อไปว่า สภาวะที่เกิดนั้นเป็นเพียงสักว่าเกิดหรือดับไปตามสภาวะที่มันควรมีควรเป็นและสภาวะเหล่านั้นที่เกิดหรือจิตในแต่ละสภาวะนั้นก็ไม่ใช่ตัวตนเราเขาเป็นสักว่าแต่เกิด และดับตามกระบวนการเท่านั้น
เมื่อไม่ยินดีหรือไม่ยินร้ายในสภาวะของจิตเช่นนั้นก็จะสามารถพัฒนาจิตให้ก้าวต่อไปได้ เพราะลำพังแค่รู้ตามทันยังไม่พอ จิตนั้นเมื่อตามรู้ทันแล้วจะต้องละวางคือพิจารณาย้ำให้เห็นว่านั่นไม่ใช่ตัวตนเราเขาเป็นเพียงสักว่าแต่เท่าน้น เมื่อเข้าไปพิจารณาให้เห็นเช่นนั้นแล้วย่อมละวางปลงได้และเห็นว่าจิตนั้นมิใช่ตัวตนเราเขา เป็นแต่เพียงสักว่าเท่านั้น
เมื่อพิจารณาจิตในจิตอยู่อย่างนี้ย่อมสามารถที่จะยกจิตหรือพัฒนาจิตไปสู่ระดับที่สูงได้ ดังปรากฏในพระพุทธพจน์ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ตอนหนึ่งว่า
"ภิกษุพิจารณาเห็นจิตในจิตภายในอยู่ พิจารณาเห็นจิตในจิตภายนอกอยู่ หรือพิจารณาเห็นจิตในจิตทั้งภายในทั้งภายนอกอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเป็นเหตุเกิดในจิตอยู่ พิจารณาเห็นธรรมเป็นเหตุดับในจิตอยู่ หรือพิจารณาเห็นทั้งธรรมเป็นเหตุเกิดทั้งธรรมเป็นเหตุดับในจิตอยู่หรือว่า ภิกษุนั้นมีสติปรากฏอยู่เฉพาะหน้าว่า “จิตมีอยู่” ก็เพียงเพื่ออาศัยเจริญญาณ เจริญสติเท่านั้น ไม่อาศัย (ตัณหาและทิฏฐิ) อยู่ และไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไร ๆ ในโลก(ที.ม. (ไทย) ๑๐/๓๘๐/๓๑๔)
@ เอาล่ะผมว่าผมคุยมามากแล้ววันนี้ สรุปกันเลยว่า
(๑) จิตในฐานะ จิตตานุปัสสนา ในมหาสติปัฏฐานสูตรนี้ เป็นจิตที่พระพุทธองค์ทรงให้เอาสติเข้าไปพิจารณา สภาวะของจิตที่เกิดขึ้นในขณะที่ปฏฺบัติธรรมเมื่อรู้แล้วก็ทำการพิจารณาเพื่อละจะได้ไม่ต้องไปติดไปยึดในสภาวะธรรมหรือสภาวะจิตที่เกิดขึ้นนั้น
(๒) จิตในพระสูตรนี้เป็นสภาวะจิตหรือสภาวะธรรมที่เกิดในขณะที่ปฏิบัติธรรม เมื่อเกิดสภาวะธรรมใดๆเกิดขึ้นก็ให้พิจารณาตามอาการนั้นๆจากนั้นให้พิจารณาเพื่อละวางไม่ยึดมั่นในสภาวะธรรมหรือสภาวะจิตนั้นเมื่อละได้จิตย่อมโปร่งเพราะไม่มีการเข้าไปยึดอัตตา คิดหรือยึดว่าเราเจ็บเราปวดหรือเราสุขหรือเราทุกข์ เมื่อตามพิจารณาด้วยสติแบบนี้ จิตย่อมถูกรู้โดยสิตย่อมไม่ไหลไปสู่อารมณ์ฝ่ายต่อและมีความเป็นเอกััคตาเราทำให้เกิดพลังและสามารถนำไปใช้เพื่อการถอนกิเลสในระยะต่อไปได้
Cr.Naga King
ขอบคุณภาพและบทความธรรมะดี ๆ
จากเฟซบุ๊ก Naga King