พระเจ้าปายาสิ ผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ เปลี่ยนเป็นสัมมาทิฏฐิได้อย่างไร ตอนที่ ๒

พระกุมารกัสสปะ โปรดพระเจ้าปายาสิ จากมิจฉาทิฏฐิ กลับมาเป็นสัมมาทิฏฐิได้อย่างไร http://winne.ws/n25307

2.2 พัน ผู้เข้าชม
พระเจ้าปายาสิ ผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ เปลี่ยนเป็นสัมมาทิฏฐิได้อย่างไร ตอนที่ ๒

การทดลองอันที่ 3 ก็ไปเอาญาติของอำมาตย์ ที่ทำความดีมาทั้งชีวิต แล้วก็ใกล้ตายแล้ว ก็ไปยืนสั่งอีกว่า ท่านเมื่อตายไปแล้วกลับมาบอกด้วยว่า สวรรค์มีจริง แล้วอยู่สวรรค์ชั้นไหน พอสิ้นใจตายปุ๊บญาติของอำมาตย์ ที่เป็นคนดี ทำความดีมาทั้งชีวิตนี้ ก็ไม่เห็นมาบอกอะไรเลย ก็เลยสรุปผลการทดลองทางวิทยาศาสตร์ว่า ชีวิตหลังความตายไม่มี นรก สวรรค์ ไม่มี  

            พระกุมารกัสสปะ ก็ยกตัวอย่างให้ฟังว่า ดูก่อนมหาบพิตร ในโลกของการเสวยสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่งสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ 1 วันสวรรค์ เท่ากับ 100 ปีมนุษย์ เพราะฉะนั้นผู้ที่ตายไปแล้ว ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ญาติของอำมาตย์คนนี้ ตายไปแล้วปุ๊บพอไปเสวยสุขในวิมานของตัวเอง ก็จำได้แหละว่าถูกสั่งมาว่า ให้ลงไปบอก

เพียงแต่ว่าเจอทิพยวิมานแล้วก็เสวยสุข ขอไปเดินเที่ยวสวนแป๊บหนึ่ง ขอไปดูสระโบกขรณีแป๊บหนึ่ง ขอไปกราบพระจุฬามณีแป๊บหนึ่ง เทียบกับเวลามนุษย์แล้ว หลายร้อยปีมนุษย์ เขาก็เลยไม่มีโอกาส มาบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ท่านได้ เพราะถ้าลงมาอีกรอบหนึ่ง พระเจ้าปายาสิก็คงสิ้นพระชนม์ไปแล้ว ถึงอย่างนั้นก็ตาม พระเจ้าปายาสิก็ยัง เป็นมิจฉาทิฐิ ไม่เชื่อเรื่องความเป็นจริงของชีวิตอยู่ดี อยู่สวรรค์ชั้นไหน ก็ยังไม่เชื่อนะว่าสวรรค์ชั้นต่าง ๆ มีอยู่จริง เพราะตัวเองก็ไม่เคยเห็น

พระกุมารกัสสปะก็อธิบายว่า ก็เสมือนว่ามีเศรษฐีคนหนึ่งมีภรรยา 2 คน คนที่ 1 มีลูกอายุ 10 ปี ภรรยาคนที่ 2 มีบุตรอยู่ในท้อง ก่อนที่เศรษฐีจะเสียชีวิตได้บอกไว้ว่า ภรรยาคนที่ 2 คลอดแล้วเป็นลูกชายจะยกสมบัติให้ครึ่งหนึ่ง คลอดออกมาแล้วเป็นผู้หญิง จะไม่ยกสมบัติให้ จะยกให้ลูกชายคนโตเพียงผู้เดียว ลูกสาวที่อยู่ในท้องภรรยาจะต้องมาเป็นทาสรับใช้ 

เมื่อเศรษฐีตายไปแล้ว ลูกชายภรรยาคนที่ 1 อยากรู้ว่าในท้องภรรยาคนที่ 2 เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ไปถามอยู่นั่นแหละว่า ตกลงลูกในท้องเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย สมัยนั้นไม่มี Ultrasound รู้ได้ยาก ถามทุกวันเรื่อย ๆ จนกระทั่ง ภรรยาเศรษฐีคนที่ 2 เกิดความรำคาญ ก็เลยตัดสินใจเอามีดผ่าท้องตัวเอง เด็กที่เกิดมาจากท้องนั้น เพศชาย แต่อนิจจาเด็กนั้นก็เสียชีวิต แล้วภรรยาคนที่ 2 เสียชีวิตไปด้วย

พระเจ้าปายาสิตอบคำถามก่อนหน้านี้ว่า ในเมื่อคนทำความดี แล้วไปสวรรค์ทำไมไม่รีบฆ่าตัวตายไปซะ พระกุมารกัสสปะอธิบายดังนี้ว่า คนทำความดีเขาไม่อยากรีบตาย ไม่อยากรีบไปเสวยสุขบนสวรรค์  เพราะเขาอยู่โลกมนุษย์ เขาสามารถสร้างความดีมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ไปสู่ภพภูมิที่ดีกว่าไปเรื่อย ๆ ทำไมจะต้องรีบตายด้วย เช่นเดียวกันเด็กที่อยู่ในท้องก็ไม่ต้องผ่าออกมา เป็นลูกชายก็ได้เสวยผลบุญ เสวยความสุขเช่นเดียวกัน  

พระเจ้าปายาสิ ผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ เปลี่ยนเป็นสัมมาทิฏฐิได้อย่างไร ตอนที่ ๒

การทดลองข้อที่ 4 . พระองค์ทรงจับนักโทษมาใส่หม้อ แล้วพันรัดด้วยหนังสัตว์ โบกติดข้างบนด้วยดินเหนียว เสร็จแล้วเอาไปต้มให้เดือด แล้วเปิดออกมาดู เปิดดูแล้วเรายังไม่เห็นวิญญาณนักโทษหลุดออกมาเลย แสดงว่าวิญญาณไม่มีอยู่จริง ชีวิตหลังความตายไม่มีอยู่จริง นรกสวรรค์ไม่มีอยู่จริง เห็นไหมทำการทดลองแล้ว   

พระกุมารกัสสปะ ก็บอกว่าดูก่อนมหาบพิตร เปรียบได้กับว่าเมื่อท่านนอนหลับแล้วฝันไป ท่านไปสู่ที่นั่นที่นี่ ไปพบคนนั้นคนนี้ ถามว่าเหล่าข้าราชบริพาร ที่นอนอยู่รอบ ๆ ตัวท่าน รู้ไหมว่าท่านไปที่ไหนบ้าง พระเจ้าปายาสิบอกว่า ไม่รู้ซิ เพราะเราฝันของเราคนเดียว เช่นเดียวกันวิญญาณของนักโทษ เมื่อหลุดออกจากร่างแล้ว ก็ไปสู่ที่ที่เขาควรจะต้องไป ก็ไม่มีใครเห็นเช่นกันเดียวกัน เปรียบเทียบขนาดนี้ก็ยังไม่เชื่อเรื่องชีวิตหลังความตายอยู่ดี

พระเจ้าปายาสิ ผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ เปลี่ยนเป็นสัมมาทิฏฐิได้อย่างไร ตอนที่ ๒

การทดลองอันที่ 5 .  มีความเป็นนักวิทยาศาสตร์มากเลย คือจับนักโทษ ใครเป็นนักโทษในเมืองนี้ในสมัยนี้ ถือว่าโชคร้ายมาก ๆ เลย พระเจ้าปายาสิจับมาทำการทดลองชีวิตหลังความตาย เอานักโทษมาชั่งน้ำหนักก่อนตาย แล้วก็เอานักโทษมาชั่งน้ำหนักหลังจากตายแล้ว ปรากฏว่านักโทษที่ตายไปแล้ว มีน้ำหนักมากกว่านักโทษที่มีชีวิตอยู่ คือช่วงมีชีวิตอยู่น้ำหนักเบากว่า ช่วงที่ตายไปแล้ว 

พระเจ้าปายาสิก็เลยสรุปผลการทดลองเลยว่า เห็นไหม ตายไปแล้วหนักกว่าเดิม  แสดงว่าวิญญาณไม่มี ถ้าวิญญาณมี น้ำหนักต้องมากกว่าตอนที่ตายไปแล้ว เพราะวิญญาณหลุดออกจากร่าง ตัวก็ต้องเบาขึ้นซิ แต่นี่ตัวหนักกว่าเดิม

พระกุมารกัสสปะอธิบายว่า ดูก่อนมหาบพิตร เหล็กที่เผาไฟจนร้อน มีน้ำหนักน้อยกว่า ตีให้เป็นรูปร่างต่าง ๆ ง่ายกว่า ดัดให้เป็นรูปร่างต่าง ๆ ง่ายกว่า ฉันใด มนุษย์ที่ตายไปแล้ว เมื่อวิญญาณออกจากร่าง ร่างกายนั้นก็จะมีน้ำหนัก ร่างกายมนุษย์ที่มีวิญญาณอยู่ จะอ่อนนุ่มกว่า สามารถที่จะเคลื่อนย้ายได้ดีกว่า เหมือนเหล็กที่เผาไฟฉันนั้น พระเจ้าปายาสิฟังอย่างนี้แล้ว ก็ยังเป็นมิจฉาทิฏฐิ ยังคงทำการทดลอง

พระเจ้าปายาสิ ผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ เปลี่ยนเป็นสัมมาทิฏฐิได้อย่างไร ตอนที่ ๒

การทดลองอันที่ 6 จับนักโทษมาอีกแล้ว ไม่ทำให้บอบช้ำ ไม่มีการทุบตีใด ๆ ทั้งสิ้น ปล่อยให้ตายเอง แล้วก็จับหงาย จับคว่ำ จับตะแคง เปลี่ยนรูปร่างไปเรื่อย ๆ สังเกตว่าวิญญาณจะออกมาทางไหน วิญญาณจะไปทางไหนบ้าง

พระกุมารกัสสปะก็บอกว่า ดูก่อนมหาบพิตร เปรียบเสมือนคนที่เป่าสังข์ หอยที่สามารถเป่าแล้วมีเสียง คนที่เป่าสังข์ในหมู่บ้าน 3 ครั้ง คนในหมู่บ้านก็ออกเดินมาดูว่า เสียงมาจากที่ไหน ก็ปรากฏว่ามาเจอสังข์วางอยู่กับพื้น คนในหมู่บ้านก็เลยจับสังข์อันนั้น มาพลิกหน้า พลิกหลัง พลิกไปพลิกมา ก็ยังไม่เห็นว่า เสียงจะเกิดขึ้นอย่างไร

จนกระทั้งมีนักปราชญ์คนหนึ่ง เดินผ่านมา หยิบสังข์ขึ้นมาแล้วเป่าออกไป แล้วเกิดเสียง เป่าไปแล้วเกิดเสียงปุ๊บ ชาวบ้านจึงรู้ว่า ที่มีเสียงได้เพราะเกิดจากการเป่า เพราะฉะนั้นศพของนักโทษ ที่ถูกฆ่าตายแล้ว พลิกไปพลิกมา ด้วยแรงของคนที่กำลังพยายามทำกับศพนั้น ไม่ได้เกิดจากวิญญาณที่ถูกกระทำขึ้น เพราะฉะนั้นถ้าจะทดลองอะไรก็ตาม ทดลองให้ตรงกับหลักวิชชา คือจะทดลองเรื่องวิญญาณ ก็ต้องมีจิตที่สามารถไปเห็นวิญญาณได้ ถ้าทดลองผิดวิธีความเชื่อของท่านก็ยังเป็นมิจฉาทิฐิ พระเจ้าปายาสิก็ยังไม่ยอม ยังทำการทดลองต่อไป    

พระเจ้าปายาสิ ผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ เปลี่ยนเป็นสัมมาทิฏฐิได้อย่างไร ตอนที่ ๒

การทดลองอันที่ 7 ก็คือจับนักโทษ ทำการหั่น เฉือน ก็คือเลาะกระดูกออก เลาะเส้นเอ็นออก ดูเส้นประสาทต่าง ๆ เพื่อหาว่าวิญญาณซ่อนอยู่ตรงไหน ในร่างกายบ้าง เฉือนออก ๆ ดูว่าอยู่กระดูกชิ้นไหน อยู่ในกล้ามเนื้อไหน อยู่ตรงเส้นประสาทไหน อยู่ตรงเส้นเอ็นไหน แต่ก็ไม่เห็นวิญญาณ  สรุปการทดลองครั้งนี้ว่า วิญญาณไม่มีอยู่จริง ชีวิตหลังความตายไม่มีอยู่จริง     

        พระกุมารกัสสปะบอกว่าดูก่อนมหาบพิตร การกระทำของทานเสมือนว่า มีพราหมณ์ผู้บูชาไฟอยู่คนหนึ่ง บูชาไฟคือก่อไฟให้ติดตลอดเวลา เมื่อพราหมณ์ผู้นั้นจะไปทำธุระการใดก็ตาม ก็สั่งให้เด็กมาดูไฟไว้ อย่าให้ดับ เด็กก็ดูไป เล่นไป จนกระทั่งลืม ปล่อยไฟให้ดับ กลัวความผิดจะเกิดขึ้น จัดการหาว่าไฟหายไปไหน

ก็เลยเอาฟืนมาผ่าครึ่ง ผ่าไปเรื่อย ๆ มาแซะดูว่าไฟซ่อนอยู่ตรงไหนของฟืน ของเถ้าถ่าน เขี่ยดู มาฝานเป็นชิ้นเล็กหมด แล้วเอามาตำ แล้วเอาเศษฟืนโปรยไปในอากาศเพื่อหาว่าไฟ หายไปไหน จนพราหมณ์มาเห็นบอกวิธีจุดไฟให้กับเด็กว่า เอาฟืนมาสีกันให้เกิดความร้อน จะเกิดประกายไฟขึ้นมา ไฟไม่ได้ถูกซ่อนอยู่ในไม้ แต่ไฟเกิดจากปฏิกิริยาเสียดสีกัน

เช่นเดียวกับพระองค์ หากจะหาวิญญาณอยู่ไหน ไม่ใช่เอาร่างมนุษย์มาชำแหละ แล้วค้นหาวิญญาณ ท่านเองก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กผู้นี้ที่ทำการทดลอง โดยตั้งสมมุติฐานมาแบบผิดวิธี พระเจ้าปายาสิฟังดังนี้แล้ว ก็ยังไม่เป็นสัมมาทิฐิ ยังคงเชื่อวิญญาณไม่มีจริงต่อไป

  พระกุมารกัสสปะเล็งเห็นว่า มิจฉาทิฐิครอบงำ อย่างสุด ๆ จริง ๆ ก็บอกว่า เชิญชวนว่ามหาบพิตร ชีวิตหลังความตายนั้นมีอยู่จริง ก็เปรียบเทียบให้ฟังว่า ก็เหมือนกับคน 2 คน เป็นพ่อค้า มีบริวารทั้งคู่คือเกวียน 500 เล่ม คนที่ 1 เดินทางไปในทะเลทราย เห็นชายคนหนึ่งเดินมา เนื้อตัวเปียกปอน บอกว่าข้างหน้ามีบ่อน้ำ ท่านจงทิ้งสัมภาระทั้งหมด เอาไปก็หนัก แล้วไปดื่มน้ำบ่อหน้า ชายคนที่ 1 เชื่อดังนั้น สั่งให้ปลดสัมภาระหมดเลย ไปถึงจุดนั้นแล้ว ไม่เจอบ่อน้ำเลย เจอยักษิณีปลอมตัวมา แล้วจับคนเดินทางทั้งหมดกินเป็นอาหาร เสียชีวิตทั้งหมดเลย    

พ่อค้าอีกคนหนึ่งเห็นคนเดินผ่านมาตัวเปียก สังเกตเห็นว่า ไม่มีเงา แววตาก็ไม่มีเงา ไม่เชื่อ ไม่ปลดสัมภาระ สามารถมีเสบียงที่จะเดินทางข้ามทะเลทรายต่อไปได้ พระองค์เองก็เหมือนกับคนที่เดินทางคนแรก รู้เรื่องราวความจริงอย่างนี้แล้ว ก็ไม่ยอมที่จะทิ้งทิฏฐิมานะตัวเองลงได้ ฟังถึงขนาดนี้ พระเจ้าปายาสิ ก็บอกกับพระกุมารกัสสปะว่า เราทำอย่างนั้นไม่ได้ คือเราเป็นสัมมาทิฏฐิไม่ได้   เพราะอะไร ???

เพราะเราประกาศตัวมาทั้งชีวิตแล้ว เราไม่เชื่อเรื่องนี้ ขืนยอมรับชีวิตหลังความตายมีจริง วิญญาณมีอยู่จริง เกิดอะไรขึ้น ความเลื่อมใสในตัวเรา ก็จะไม่มีใครศรัทธา ถือว่าทำไม่จริง แล้วก็จะมาลบล้างความเชื่อความศรัทธาตัวเราได้ พูดง่าย ๆ รักษาฟอร์มของตัวเองอยู่  กลัวคนมาดูถูก  ทำอะไรแล้วทำไม่จริง กลัวว่าจะกลับใจ แปลกดีเหมือนกัน กลัวการทำความดี

พระกุมารกัสสปะยกตัวอย่างอีก ดูก่อนมหาบพิตร เปรียบเสมือนคน 2 คนเดินทางมาไกล ระหว่างทางเจอเปลือกป่าน คือเปลือกต้นนุ่น จำนวนมาก  คน 2 คนนี้ ก็เลยเก็บเปลือกป่านมัดรวมกัน เปลือกป่านมีค่าน้อย ต้องเก็บเป็นจำนวนมาก มัดรวมกันแล้วแบกใส่หลังเดินทางต่อไป จนกระทั่งเดินทางมาได้สักระยะหนึ่ง เจอคนเดินสวนมา แล้วก็ยกด้ายป่าน ที่มีมูลค่ามากกว่าให้กับ 2 คนนี้ 

คนที่ 1 รับมาแล้วก็ทิ้งเปลือกป่านออกไป แบกด้ายป่านแทน คนที่ 2 เปลือกป่านที่เราขนมาตั้งไกล หนักก็หนัก มัดอย่างดีแล้ว ไม่อยากทิ้ง ก็แค่ด้ายป่านอันหนึ่ง ไม่เอาหรอก เลยแบกเปลือกป่านต่อไปเรื่อย ๆ เดินทางไปด้วยกันเรื่อย ๆ พบสิ่งของมีค่า มูลค่ามากเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ กระทั่งพบทองแดง พบดีบุก พบเงิน กระทั่งพบทองคำ

ชายคนที่ 1 สละของเก่าทิ้งออกหมดเลย แล้วรับของดี ๆ อันใหม่มาเรื่อย ๆ ชายคนที่ 2 ยังแบกเปลือกป่านไปเรื่อย ๆ เพราะคิดว่าตัวเองแบกมาไกลแล้ว ถ้าทิ้งตรงนี้เดี๋ยวจะเสียแรงเปล่า สุดท้าย 2 ท่าน เดินทางไปถึงจุดหมายปลายทาง คนที่ 1 กลายเป็นมหาเศรษฐีที่ร่ำรวย เพราะยอมทิ้งของที่มูลค่าน้อยลงไป ชายคนที่ 2 กลับไปถึงจุดหมายปลายทาง ยังคงแบกเปลือกป่านที่มูลค่าน้อย ก็จนต่อไปเรื่อย ๆ

มหาบพิตรก็เหมือนกับชายคนที่ 2 ที่ไม่ยอมทิ้งความเชื่อเก่า ๆ ยังคงเป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่ ปลายทางของท่าน ก็จะประสบแต่ความทุกข์ยากต่อไป ถึงขั้นนี้แล้ว พระเจ้าปายาสิรับรู้ด้วยปัญญา จริง ๆ เราควรที่จะปรับทัศนคติ เปลี่ยนวิสัยทัศน์ของตัวเองใหม่ เปลี่ยนความเชื่อของตัวเองใหม่ ด้วยเหตุและผล ด้วยการยกตัวอย่างของพระกุมารกัสสปะ  

 หลังจากนั้นพระองค์ก็เลยหันมาศึกษาธรรมะ หันมายึดพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เป็นที่ระลึก แล้วก็หันมานับถือพระพุทธศาสนา นอกจากจะเปลี่ยนทิฏฐิตัวเองแล้ว ยังเปลี่ยนทิฏฐิข้าราชบริพาร แล้วก็พลเมืองที่ตัวเองดูแลต่อไปด้วย นี่คือการชี้ให้เห็น การยกตัวอย่าง ให้กับคนที่มีมิจฉาทิฐิ


ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก

https://dhammakayahistory.blogspot.com/2018/09/blog-post_7.html?m=1

แชร์