2 ปี ใช้ "ม.44" ร่วมร้อย หวั่นสังคมเสพติดอำนาจพิเศษ จนทำให้กฎหมายธรรมดาเป็นง่อย ไปหรือเปล่า??
2 ปี นายกใช้ "ม.44" ร่วมร้อย หวั่นสังคมเสพติดอำนาจพิเศษ จนทำให้กฎหมายธรรมดาเป็นง่อย ไปหรือเปล่า?? http://winne.ws/n6075
โดย...ฐายิกา จันทร์เทพ
กลยุทธ์ในการบริหารประเทศของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ถูกกล่าวขวัญมากที่สุด ต้องยกให้เป็นเรื่องการใช้อำนาจมาตรา.44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 2557 ซึ่งเป็นอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ที่ให้อำนาจ “บิ๊กตู่” ใช้แก้สารพัดปัญหาทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม.
ทั้งนี้ มาตรา 44 บัญญัติไว้ว่า ในกรณีที่หัวหน้า คสช.เห็นเป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการปฏิรูปในด้านต่าง ๆ การส่งเสริมความสามัคคีและความสมานฉันท์ของประชาชนในชาติ หรือเพื่อป้องกัน ระงับ หรือปราบปรามการกระทำอันเป็นการบ่อนทำลายความสงบเรียบร้อยหรือความมั่นคงของชาติ
อย่างไรก็ตาม ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ได้มีการใช้มาตรา 44 ไปแล้ว รวม 91 ฉบับ แบ่งออกเป็น คำสั่งที่ออกเมื่อปี 2557 มี 1 ฉบับ ปี 2558 มี 48 ฉบับ และคำสั่งปี 2559 ประกาศใช้แล้ว 42 ฉบับ ซึ่งครอบคลุมทั้ง การรักษาความสงบเรียบร้อย การบังคับใช้กฎหมายเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของชาติ การจัดระเบียบสังคม การปราบอิทธิพล แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม ทวงคืนผืนป่า แก้ปัญหาระบบการศึกษา แต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ ปราบทุจริตคอร์รัปชั่น และควบคุมสื่อ
ทว่า การใช้มาตรา.44 มักจะถูกวิพากษ์วิจารณ์เป็นการใช้อำนาจเผด็จการ ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบในระยะยาว เพราะจะทำให้สำเร็จเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และมีการตั้งคำถามจากสังคมว่าคำสั่งมาตรา 44 นั้นศักดิ์สิทธิ์จริงหรือไม่ และสมเหตุสมผลพอหรือไม่ เป็นธรรมกับผู้ที่รับผลกระทบหรือไม่ จากคำถามเหล่านี้ นักวิชาการต่างให้ความเห็นที่ไปในทิศทางเดียวกัน หากใช้มากจะเกิดอันตราย และไม่ควรสร้างวัฒนธรรมการเสพติดอำนาจพิเศษ
ไพโรจน์ พลเพชร อดีตคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย (คปก.) มองว่า การใช้อำนาจที่อยู่เหนือสถาบันหลักของระบอบประชาธิปไตย คือ ฝ่ายบริหารหรือรัฐบาล ตุลาการ และนิติบัญญัติ และอำนาจนี้จะถูกกำหนดไว้ว่าสามารถใช้ได้จนถึงที่สุดดำรงอยู่ต่อไปจนกว่าจะมีการยกเลิก การใช้อำนาจไม่มีการตรวจสอบการใช้อำนาจจากสถาบันใด ๆ เลย ซึ่งมีโอกาสใช้อำนาจบิดเบือนได้ เพราะไม่มีกระบวนการตรวจสอบ ดังนั้นถ้าผิดพลาดการใช้อำนาจขึ้นมาก็ตรวจสอบไม่ได้ ยิ่งกว่านั้นหากเกิดผลกระทบในระยะยาวก็ไม่สามารถที่จะเยียวยาได้
นอกจากนี้ หากการใช้อำนาจโดยอ้างว่าเพื่อแก้ปัญหานั้น บางเรื่องมันสามารถที่จะใช้กลไกปกติได้ แล้วทำไมจึงไม่ใช้กลไกปกติ เพราะมันมีระบบการตรวจสอบถ่วงดุล ซึ่งเป็นระบบทั่วไปที่จะทำให้ไม่เกิดการใช้อำนาจลุแก่อำนาจ หรือใช้อำนาจตามอำเภอใจ และถ้าร่างรัฐธรรมนูญปกติที่เรากำลังจะไปลงเสียงรับรองเรื่องเหล่านี้มันก็จะยิ่งส่งผลกระทบกับสังคมในระยะยาว
“เราต้องใช้กลไกพิเศษไปตลอดต่อไปในสังคมไทย แล้วกลไกปกติก็เป็นง่อยหมด ระบบไม่ฟังก์ชั่นจะทำอย่างไร เราต้องเร่งรัดให้กลไกปกติทำงาน ไม่ใช่หาอะไรมาทำแทน ที่สำคัญตอนนี้เรากำลังสร้างวัฒนธรรมที่ต้องใช้อำนาจพิเศษเท่านั้นจึงจะจัดการกับปัญหาได้ เป็นการสร้างการยอมรับหรือความนิยมชมชอบในวัฒนธรรมอำนาจนิยม การปลูกฝังทัศนคติ หรือความเชื่อแบบนี้ในสังคมไทย ทำให้เป็นปฏิปักษ์โดยตรงต่อระบบประชาธิปไตยหรือวัฒนธรรมประชาธิปไตย เราก็จะยิ่งสร้างประชาธิปไตยยากเข้าไปอีก เพราะคิดว่าต้องใช้ระบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเท่านั้นจึงจะแก้ปัญหาได้”
“ขณะเดียวกัน เวลานี้สังเกตได้คนทั่วไปกำลังเรียกร้องการแก้ปัญหาแบบนี้ มีแต่คนพยายามเรียกร้องให้ใช้มาตรา 44 แก้ปัญหา ถามว่าเคยประเมินหรือไม่ว่า มาตรา 44 ใช้แล้วได้ผลหรือไม่ได้ผล ระบบกลไกปกติมันไม่ทำงานเลยใช่หรือไม่ เป็นการปลูกฝังสิ่งที่ไม่ถูกต้องในการแก้ปัญหา สิ่งเหล่านี้มันมีการพิสูจน์ในโลกมาแล้วว่าการใช้อำนาจนิยมเวลาไม่มีการตรวจสอบมันแก้ปัญหาไม่ได้ และเป็นอุปสรรคในระยะยาวในการปลูกฝังประชาธิปไตย เมื่อใช้อำนาจร่ำไปตรวจสอบ” ไพโรจน์ ระบุ
ขณะที่ สมลักษณ์ จัดกระบวนพล อดีตกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ทรรศนะว่า มาตรา 44 เป็นบทบัญญัติพิเศษจริง ๆ ที่ใช้ในภาวะบ้านเมืองไม่ปกติ มีเหตุเกี่ยวกับความมั่นคงที่ต้องสั่งการโดยด่วน ซึ่งคนที่จะใช้อำนาจนี้ต้องเป็นคนดีจริงๆ ที่หยั่งรู้ว่าใครดีใครชั่ว เหตุการณ์ไหนเป็นอย่างไร สมควรให้ความเป็นธรรมกับใครอย่างไร ควรลงโทษใครแค่ไหนอย่างไร เพราะอำนาจนิติบัญญัติกับตุลาการไปให้คนคนเดียวใช้ ซึ่งผิดหลักการ
แต่เมื่อผู้บริหารประเทศจำเป็นต้องใช้ “ให้ข้อคิดไว้ว่ามาตรา 44 ต้องใช้ในกรณีจำเป็นจริง ๆ และอย่าใช้นาน เพราะจะเกิดการเสพติดและใช้กันใหญ่เลย เมื่อมันใช้ง่ายเมื่ออะไรที่ไม่สนองความต้องการก็จะสั่งเลย เพราะไม่มีใครที่จะให้ความเห็นแย้งอะไรได้ ดังนั้นต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง นอกจากนี้อำนาจมาตรา 44 อย่าใช้โดยเข้าไปล่วงล้ำอำนาจตุลาการ หรือใช้ลงโทษบุคคล เพราะอำนาจตุลาการเมื่อศาลจะพิพากษาคดียังมีองค์คณะร่วมกัน มีความเห็นแย้งได้ แต่ถ้าคนคนเดียวใช้อำนาจนี้มันจะอันตรายมาก”
“สมลักษณ์” ยังได้เตือนว่า หากผู้ใช้อำนาจนี้บ่อย หรือหากใช้แล้วเกิดความผิดพลาด แก้ไขเมื่อบ่อยครั้งขึ้นเช่นใช้กับเรื่องกรณีโยกย้ายข้าราชการ มันก็จะส่งผลที่ไม่ดีต่อตัวผู้ใช้เอง เพราะเมื่อมีอำนาจคนรอบข้างก็จะมีทั้งดีและไม่ดี ถ้าไปฟังคนไม่ดีแล้วไปลงโทษคนดีผลก็จะเกิดความเสียหายมากมาย.
อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/445898