โฆษกศิษยานุศิษย์ของวัดพระธรรมกายแถลงข้อแท้จริง

ความจริงที่ชัดเจน ที่ไม่เคยมีการชี้แจงที่ไหนมาก่อน โปรดติดตามกันได้เลยค่ะ http://winne.ws/v3605

1.7 พัน ผู้เข้าชม

ศิษย์ธรรมกายข้องใจDSI ทำกับพระธัมมชโยแบบนี้

เมื่อวันที่ 18 พ.ค. นายองอาจ ธรรมนิทา โฆษกคณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย เปิดแถลงข่าวถึงกรณีศาลอาญาอนุมัติหมายจับ "พระธัมมชโย" ตามที่กรมสอบสวนคดีพิเศษยื่นขอว่า ศิษานุศิยย์รู้สึกเสียใจ อยากสอบถามดีเอสไอ เรื่องหมายจับ ที่บอกว่าจะมาวันนี้-พรุ่งนี้ หรือจะมาเร็วที่สุด แล้วทำไมก่อนหน้านี้ ที่เรียนเชิญให้เปลี่ยนสถานที่จากดีเอสไอ มาเป็นวัดพระธรรมกาย เพราะหลวงพ่อมีอาการอาพาธ ทำไมหมายเรียกมาไม่ได้ แต่ทำไมหมายจับมาได้

"หมายจับดูเหมือนจะดำเนินการทันทีทันใด แต่หมายเรียกไม่ได้ดำเนินการใดๆ ให้ศิษานุศิยย์สบายใจเลย เมื่อวานนี้ เรารู้สึกทางดีเอสไอไม่ให้ความกระจ่างกับสังคม อยากสอบถามไปว่า ที่พยายามพูดถึงเอกสารทางการแพทย์ เวชระเบียนต่างๆ ท่านพยายามกล่าวว่า แพทย์ที่มารับรองอาการ สถานที่ออกใบรับรอง เชื่อถือไม่ได้ ตรงนี้พูดไม่ครบ และคลาดเคลื่อน ต้องขอความเป็นธรรม ขอพูดความจริง ทราบหรือไม่ว่า เอกสารทางการแพทย์ที่ยื่นต่อดีเอสไอ โดยทนายความ และจัดทำขึ้นโดยคณะแพทย์ เป็นเอกสาร 3 ฉบับ ที่อ้างว่า ออกโดยสหคลีนิกรัตนเวช ที่ตั้งในวัดพระธรรมกาย แต่ความจริงไม่ใช่มีแค่ที่นี่ที่เดียว เพราะมีการออกเอกสารทางการแพทย์ จากโรงพยาบาลค่ายภาณุรังษี จ.ราชบุรี ซึ่งเป็นโรงพยาบาลของรัฐ ถามว่าไม่น่าเชื่อถือหรือ ที่ต้องไปออกใบรับรองแพทย์ที่ราชบุรี เพราะที่นี่มีผู้เชี่ยวชาญเรื่องโลหิตวิทยา และเวชระเบียน ก็เป็นของโรงพยาบาลรัฐ"นายองอาจกล่าว 

โฆษกคณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย กล่าวด้วยว่า ขอฝากถึงดีเอสไอให้ออกมาตอบคำถามสังคมด้วย ที่สำคัญขอโอกาสได้พูดแทนคุณหมอ แทนผู้เชี่ยวชาญที่มีศักดิ์ศรีในจรรยาบรรณทางวิชาชีพ ที่เสียหาย ส่วนใหญ่เป็นผู้เชี่ยวชาญระดับอาจารย์แพทย์ และเสียใจที่ดีเอสไอทำไมทำกับพระธัมมชโยแบบนี้.“

โดยมีเนื้อหาในการแถลงการณ์ดังนี้

ความไม่ชอบธรรมผิดหลักกฎหมายในการตั้งข้อกล่าวหาพระเทพญาณมหามุนี

การดำเนินคดีแจ้งข้อกล่าวหาแก่พระเทพญาณมหามุนี  ว่าสมคบกันฟอกเงินและรับของโจร ในคดีพิเศษที่ 27/2559 เป็นการสอบสวนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ด้วยเหตุผลดังนี้

1. กรณีสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ทางดีเอสไอดำเนินการสอบสวนในคดีพิเศษที่ 146/2556 และได้ส่งสำนวนสอบสวนไปยังอัยการแล้ว โดยไม่มีพระเทพญาณมหามุนีอยู่ในฐานะผู้ต้องหา ซึ่งหลักกฎหมายมีอยู่ว่า  มูลคดีใดที่พนักงานสอบสวนส่งสำนวนไปยังอัยการแล้ว อำนาจในการพิจารณาสั่งคดีจะอยู่ที่อัยการ พนักงานสอบสวนจะไปสอบสวนและตั้งข้อหาบุคคลอื่นอีกในมูลคดีเดิมนั้นเพิ่มโดยพลการไม่ได้

2.ต่อมาทางอัยการได้สั่งให้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษไปสอบสวนเพิ่มเติม ในมูลคดีเกี่ยวกับเส้นทางการเงินของเช็คจำนวน 878 ฉบับ ซึ่งในจำนวนนี้พนักงานสอบสวนได้มาสอบปากคำพระเทพญาณมหามุนีกรณีรับเช็คสหกรณ์คลองจั่น จากนายศุภชัย จำนวน 10 ฉบับ และพนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้รวบรวมสำนวนการสอบสวนเพิ่มเติมทั้งหมดในคดี 146/2556นี้ ส่งไปให้อัยการเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2558  และเสนอให้ทางอัยการสั่งตั้งข้อหาสมคบกันฟอกเงินและรับของโจรแก่พระเทพญาณมหามุนี

3. ทางอัยการได้พิจารณาสั่งคดีที่ 146/2556 เมื่อวันที่ 29 มกราคม พ.ศ.2559 โดยไม่สั่งฟ้องพระเทพญาณมหามุนี มีคำสั่งเพียงว่า หากปรากฏพยานหลักฐานว่ามีบุคคลอื่นร่วมสมคบหรือสนับสนุนการกระทำผิด  ก็ให้พนักงานสอบสวนดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายต่อไป

4. ทางพนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้นัดหมายแถลงข่าวว่าจะตั้งข้อหารับของโจรกับพระเทพญาณมหามุนีในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 ทางทนายความผู้รับมอบอำนาจของพระเทพญาณมหามุนี  จึงได้ทำหนังสือสอบถามทางอัยการว่า ทางพนักงานสอบสวนคดีพิเศษมีอำนาจแยกคดีตั้งข้อหาเองในกรณีนี้หรือไม่ ได้รับคำตอบจากอัยการว่า ในกรณีนี้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ จะต้องทำการสอบสวนหาพยานหลักฐานเพิ่มเติมแล้วส่งมาให้ทางอัยการพิจารณาสั่ง จะไปแยกคดีตั้งข้อหาเองไม่ได้

5.ทางทนายความผู้รับมอบอำนาจได้ทำหนังสือแจ้งคำตอบของทางอัยการ ให้กับอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษทราบเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2559

6.การที่นายธรรมนูญ อัตโชติ ได้มาแจ้งความกล่าวโทษพระเทพญาณมหามุนีในข้อหาสมคบกันฟอกเงิน และร่วมกันรับของโจร เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ.2559 และพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ตั้งเป็นคดีที่ 27/2559 ขึ้น แล้วออกหมายเรียกเมื่อวันที่ 29 มีนาคม ให้พระเทพญาณมหามุนีไปพบในฐานะผู้ต้องหาสมคบกันฟอกเงินและรับของโจร  จึงอาจเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ( ตามนัยคำพิพากษาฎีกา ที่ 9/2481 )

7. นายพัฐจักร เทพษร ศิษยานุศิษย์ของวัดพระธรรมกายได้ไปกล่าวโทษต่อ ปปช. ว่าพนักงานสอบสวนคดีพิเศษในคดีที่ 27/2559 นี้เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 มาตรา 200 มาตรา 83 มาตรา 86 แล้ว เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 และกล่าวโทษนายธรรมนูญ อัตโชติ ในฐานะเป็นผู้สนับสนุนในการกระทำความผิด

8. กระบวนการสอบสวนของพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ในคดีที่ 27/2559 นี้ มีความไม่ชอบธรรมหลายประการ อาทิ มีการตั้งข้อหาคดีพิเศษและออกหมายเรียกเป็นผู้ต้องหาอย่างรวดเร็ว เมื่อพระเทพญาณมหามุนีขอเลื่อนการพบพนักงานสอบสวนด้วยเหตุอาพาธ โดยมีใบรับรองแพทย์จากทั้งคลินิกและโรงพยาบาลของรัฐไปแสดง แต่พนักงานสอบสวนกลับไม่อนุญาต โดยไม่มีการให้แพทย์จากหน่วยงานกลางมาตรวจอาการ ว่าท่านป่วยจริงหรือไม่ แต่ไปขอศาลออกหมายจับเลย

9. คณะศิษยานุศิษย์มีข้อสงสัยว่า การตั้งคดีที่ 27/2559 ของทางดีเอสไอน่าจะไม่ถูกต้อง  ผิดหลักกฎหมายมาตั้งแต่ต้น จึงไม่มีความชอบธรรมในการดำเนินคดี  เหมือนกลัดกระดุมเม็ดแรกผิด เม็ดต่อๆ มาก็ผิดไปหมด

 คณะศิษยานุศิษย์จึงจะแจ้งความดำเนินคดีผู้เกี่ยวข้องกับคดีนี้ทุกคนที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อมิให้เจ้าพนักงานลุแก่อำนาจ ปฏิบัติหน้าที่ตามอำเภอใจ เป็นการสร้างมาตรฐานความถูกต้องชอบธรรมทางกฎหมายให้เกิดขึ้นแก่สังคมต่อไป

                                                         นายองอาจ ธรรมนิทา

                                          โฆษกคณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย

                                                          17 พฤษภาคม 2559


ที่มา : dailynews

แชร์