จำคุก อดีตแกนนำพันธมิตรฯ 6 คน ไม่รอลงอาญา ฐานนำมวลชน บุกทำเนียบไล่รัฐบาล"สมัคร"ปี 2551

ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีแกนนำพันธมิตรฯ บุกทำเนียบรัฐบาล เมื่อปี 2551 หมายเลขดำ อ.4925/2555 ที่ พ.ต.ต.สุรพงษ์ สายวงศ์ อัยการฝ่ายคดีอาญา 10 ได้เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง อายุ 82 ปี นายสนธิ ลิ้มทองกุล อายุ 69 ปี http://winne.ws/n17423

2.1 พัน ผู้เข้าชม
จำคุก อดีตแกนนำพันธมิตรฯ 6 คน ไม่รอลงอาญา ฐานนำมวลชน บุกทำเนียบไล่รัฐบาล"สมัคร"ปี 2551แหล่งภาพจาก คมชัดลึก

จำคุก อดีตแกนนำพันธมิตรฯ 6 คน ได้แก่ 'สนธิ-จำลอง-พิภพ-สมศักดิ์-สมเกียรติ-สุริยะใส' คนละ 8 เดือน ไม่รอลงอาญา ฐานนำมวลชน บุกทำเนียบไล่รัฐบาลสมัครเมื่อปี 2551

ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีแกนนำพันธมิตรฯ บุกทำเนียบรัฐบาล เมื่อปี 2551 หมายเลขดำ อ.4925/2555 ที่ พ.ต.ต.สุรพงษ์ สายวงศ์ อัยการฝ่ายคดีอาญา 10 ได้เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง อายุ 82 ปี, นายสนธิ ลิ้มทองกุล อายุ 69 ปี, นายพิภพ ธงไชย อายุ 71 ปี, นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ อายุ 67 ปี นายสมศักดิ์ โกศัยสุข อายุ 71 ปี แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) และนายสุริยะใส กตะศิลา อายุ 44 ปี ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน หรือกลุ่มการเมืองสีเขียว และอดีตผู้ประสานงาน พธม. เป็นจำเลยที่ 1-6 ในความผิดฐานร่วมกันบุกรุกโดยกระทำความผิดตั้งแต่สองคนขึ้นไป และร่วมกันทำให้เสียทรัพย์กรณีบุกรุกเข้าไปในทำเนียบรัฐบาล ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 358, 362 และ 365 

โดยศาลอุทธรณ์ ตรวจสำนวนปรึกษากันแล้วเห็นว่า การกระทำของจำเลยทั้ง 6 ที่เป็นแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯแล้วบุกรุกเข้าไปในทำเนียบรัฐบาลนานถึง 90 วัน ซึ่งผู้ชุมนุมไม่สามารถดำเนินการด้วยตนเองได้ พยานโจทก์เบิกความว่ามีการใช้คีมตัดโซ่คล้องกุญแจประตูทำเนียบรัฐบาล ฝ่าแผงเหล็กกั้นอลูมิเนียมเข้าไปภายในทำเนียบรัฐบาล ศาลเห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นการทำฐานบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ ซึ่งเป็นความผิดกรรมเดียวสมทบเนื่องกันแต่ผิดกฎหมายหลายบท

การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาฐานบุกรุกนั้นชอบแล้ว ส่วนที่จำเลยขอให้ศาลลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษ โดยอ้างเหตุ ว่าจำเลยเป็นผู้มีการศึกษา มีสถานะทางสังคม และได้ทำงานสังคม อีกทั้งไม่เคยต้องโทษในคดีอาญามาก่อน กับการชุมนุมนั้นก็เป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะนั้น ศาลเห็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นการบุกรุกทำเนียบรัฐบาลซึ่งเป็นสถานที่ราชการ ซึ่งการที่จำเลยจะใช้เสรีภาพนั้นก็จะต้องไม่กระทบต่ออำนาจหน้าที่อื่น และเพื่อไม่ให้การกระทำของจำเลยนั้นเป็นเยี่ยงอย่าง แต่เมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่าการกระทำของพวกจำเลยมิได้เป็นประโยชน์เพื่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง และไม่ใช่เพื่อประโยชน์ส่วนตน จึงเห็นควรพิพากษาลงโทษให้เหมาะสมกับพฤติการณ์จึงพิพากษาแก้ จากเดิมที่ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 2 ปี ให้เป็นจำคุก1ปี โดยลดโทษให้1ใน3 คงจำคุกจำเลยทั้ง6 เป็นเวลาทั้งสิ้น 8เดือนโดยไม่รอลงอาญา

ที่มา: http://news.voicetv.co.th/thailand/509785.html

แชร์