การดีเบตท้าชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริการอบที่สองเมื่อคืนวันอาทิตย์เวลา 21.00 น.ที่ผ่านมา เทียบกับเวลาในไทยคือเวลา 8.00 น.ของเช้าวันจันทร์ โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากพรรครีพับลิกัน มาในชุดสูตรสีดำพร้อมเนคไทสีแดง ดูน่าเกรงขาม ด้าน ฮิลลารี คลินตั้น ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครต มาในชุดสูทสีดำคาดขาวดูสุขุมนุ่มลึก

          ซึ่งการดีเบตรอบที่สอง โดนัลด์ ทรัมป์ และ ฮิลลารี คลินตั้น ตอบโต้กันดุเดือดทั้งกรณีเทปฉาวของทรัมป์ เรื่องวีกรรมชู้สาวของ บิน คลินตัน และทรัมป์ยังขู่เอาฮิลลารี เข้าคุกเรื่องการใช้อีเมลล์ อีกด้วย

ประเด็นแรกเทปฉาวของโดนัลด์ ทรัมป์ และอีเมลล์ของฮิลลารี

          เริ่มต้นดีเบตช่วงแรก โดนัลด์ ทรัมป์ ถูกตั้งคำถามถึงเทปฉาวจากวิดีโอลับที่ถ่ายไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2005 ที่โดนัลด์ ทรัมป์ ได้พูดในลักษณะลามกหยาบโลนต่อสตรีบนรถบัสก่อนการถ่ายทำรายการทีวีรายการหนึ่ง แล้วถูกลอบอัดไว้ในไมโครโฟน จนก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์

          ซึ่งการดีเบตครั้งนี้ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้กล่าวขอโทษและบอกว่าเป็นการพูดหยาบโลนแบบที่วัยรุ่นชายอเมริกันชอบทำกันในห้องแต่งตัวหรือ "ล็อคเกอร์รูม ทอล์ค" และพยายามเบี่ยงประเด็นไปที่เรื่องกลุ่มรัฐอิสลามในตะวันออกกลาง และกรณีอื้อฉาวในอดีตของ บิล คลินตั้น สามีของนางฮิลลารี คลินตั้น ในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี

          ขณะที่นางฮิลลารี คลินตั้น พยายามชี้ประเด็นเรื่องความไม่เหมาะสมของโดนัลด์ ทรัมป์ ในฐานะผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี และระบุถึงคำพูดของโดนัลด์ ทรัมป์ ในอดีต ในลักษณะดูถูกเพศหญิง และชนกลุ่มน้อย

          ด้าน โดนัลด์ ทรัมป์ ได้สวนกลับถึงประเด็นอีเมล์ของนางฮิลลารี คลินตั้น จำนวน 33,000 อีเมล์ที่หายไป โดยบอกว่า หากตนได้เป็นประธานาธิบดี ตนจะแต่งตั้งอัยการพิเศษขึ้นมาสอบสวนเรื่องนี้ และว่าหากตนเป็นประธานาธิบดี นางฮิลลารี คลินตั้น จะต้องถูกลงโทษจำคุก

ประเด็นภายในประเทศ

          โดนัลด์ ทรัมป์ และ ฮิลลารี คลินตั้น โต้กันในเรื่องกฎหมายปฏิรูประบบประกันสุขภาพของประธานาธิบดีโอบาม่า หรือ Obamacare โดย ฮิลลารี คลินตั้น ยอมรับว่ากฎหมายดังกล่าวทำให้ค่าธรรมเนียมประกันสุขภาพสูงขึ้น และค่ายาแพงขึ้นจริง ซึ่งตนจะแก้ไขเรื่องนี้ แต่โดนัลด์ ทรัมป์ ยืนยันว่าตนจะยกเลิกกฎหมาย Obamacare หากได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี

          ทั้งนี้ ผู้สมัครทั้งสองคนยังได้เสนอความเห็นของตนเรื่องการแต่งตั้งผู้พิพากษาคนใหม่ในคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ แทนผู้พิพากษาแอนโทนิน สกาเลีย ผู้เสียชีวิตเมื่อหลายเดือนก่อน

          นอกจากนี้ นางฮิลลารี คลินตั้น ยังได้กล่าวโจมตีโดนัลด์ ทรัมป์ เรื่องไม่เปิดเผยข้อมูลด้านภาษี ซึ่งอาจเป็นเพราะเขาพยายามปกปิดว่าเขาไม่ได้เสียภาษีมาเป็นเวลา 20 ปี ขณะที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ตอบโต้ว่าตนเองภูมิใจที่รู้กฎเกณฑ์ต่างๆ ทางภาษี ทำให้สามารถหาประโยชน์จากเรื่องนี้ได้เหมือนที่นักธุรกิจหลายคนผู้บริจาคเงินทุนให้นางฮิลลารี คลินตั้น ก็กระทำแบบเดียวกัน

ประเด็นนโยบายต่างประเทศ

          ฮิลลารี คลินตั้น กล่าวว่าจะไม่ส่งทหารภาคพื้นดินเข้าไปในซีเรีย เพราะไม่ใช่นโยบายที่ฉลาดนักและเธอจะสนับสนุนให้มีการนำรัสเซียและรัฐบาลซีเรียมาลงโทษในฐานะอาชญากรสงคราม ผู้สังหารประชาชนบริสุทธิ์จำนวนมากในซีเรีย โดยเฉพาะในเมือง Aleppo

          ส่วน โดนัลด์ ทรัมป์ ระบุว่าตนยินดีจะร่วมมือกับรัสเซียและซีเรียเพื่อปราบปรามกลุ่มไอเอสให้ราบคาบ ซึ่งแตกต่างจากที่ผู้ลงสมัครร่วมกับเขา คือผู้ว่าการรัฐอินเดียอะน่า ไมค์ เพนซ์ กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่าตนต้องการให้มีการโจมตีเป้าหมายของรัฐบาลซีเรีย

          ตลอดการดีเบตครั้งนี้ โดนัลด์ ทรัมป์ ยังพยายามบอกด้วยว่า นโยบายต่างประเทศของประธานาธิบดีโอบาม่าและนางฮิลลารี คลินตั้น คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดกลุ่มรัฐอิสลามขึ้นในตะวันออกกลาง

          ในช่วงสุดท้ายผู้ที่เข้าร่วมรายการเป็นคนถามคำถามสุดท้าย โดยขอให้ โดนัลด์ ทรัมป์ และ ฮิลลารี คลินตั้น บอกสิ่งที่ตนเองรู้สึกชื่นชมในตัวของอีกฝ่าย ซึ่ง ฮิลลารี คลินตั้น บอกว่า เธอรู้สึกชื่นชมลูกๆ ของ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่มีความสามารถและอุทิศตนให้แก่บิดา ด้าน โดนัลด์ ทรัมป์ ก็กล่าวชม ฮิลลารี คลินตัน ว่าเป็น "นักสู้" ที่ไม่เคยยอมแพ้ ก่อนที่ทั้งคู่จะจับมือกันและลงจากเวที

          หลังจบการดีเบตรอบสอง ผลโพลคะแนนล่าสุดปรากฏว่า โดนัล ทรัมป์ ที่ครั้งนี้ควบคุมสติและท่าทีได้ดีกว่าครั้งก่อน แต่ต้องพ่ายแพ้ไปอีกครั้ง ด้วยคะแนน 34% ต่อ 57% ซึ่งผลโพลที่ออกมาไม่ได้ผิดความคาดหมายเท่าไรนัก

          สำหรับการดีเบตครั้งสุดท้าย จะมีขึ้นในวันที่ 19 ตุลาคม 2559 ที่ มหาวิทยาลัยเนวาดา เมืองลาสเวกัส รัฐเนวาดา ก่อนจะมีการเลือกตั้งในวันที่ 8 พฤศจิกายน ต่อไป

ขอบคุณข้อมูลจาก : voathai.com

ขอขอบคุณภาพและแหล่งข่าวจาก http://news.sanook.com

อ่านข่าวเพิ่มเติมได้ที่ http://news.sanook.com/2081130/