อย่าละเลย!! มีอาการ ปวดที่หน้า คุณอาจกำลังเป็น โรคปวดเส้นประสาทใบหน้า
การเกิดอาการปวดที่ใบหน้าอาจมีสาเหตุมาจากเส้นประสาทคู่ที่ 5 ที่ทำหน้าที่รับความรู้สึกจากใบหน้า ลิ้น ฟัน ปาก เหงือก และควบคุมกล้ามเนื้อที่เกี่ยวกับการเคี้ยวอาหาร ถูกกดทับหรือเกิดจากปลอกประสาทเสื่อม ซึ่งโรคปวดเส้นประสาทใบหน้า ฯลฯ http://winne.ws/n11396
อาการปวดบริเวณใบหน้า หลายคนอาจคิดว่าเป็นเพียงเพราะฟันผุหรือเกิดจากเหงือกอักเสบ แต่เมื่อรักษาอาการภายในช่องปากแล้ว กลับพบว่าอาการปวดใบหน้าไม่ได้หายตามไปด้วย หรือแท้ที่จริงแล้ว การเกิดอาการปวดที่ใบหน้าอาจมีสาเหตุมาจากเส้นประสาทคู่ที่ 5 (Trigerminal nerve) ที่ทำหน้าที่รับความรู้สึกจากใบหน้า ลิ้น ฟัน ปาก เหงือก และควบคุมกล้ามเนื้อที่เกี่ยวกับการเคี้ยวอาหาร ถูกกดทับหรือเกิดจากปลอกประสาทเสื่อม ซึ่งโรคปวดเส้นประสาทใบหน้า (Trigeminal Neuralgia) พบได้ทั้งใน ผู้หญิงและผู้ชายวัยกลางคนไปจนถึงผู้สูงอายุ
โรคปวดเส้นประสาทใบหน้า ผู้ป่วยจะมีอาการปวดที่บริเวณใบหน้าซีกใดซีกหนึ่งหรืออาจปวดบริเวณแก้ม เหงือกและฟันอย่างรุนแรง โดยอาการปวดจะเกิดขึ้นเองอย่างฉับพลัน เป็นระยะสั้นๆ และเกิดซ้ำๆ ลักษณะการปวดแปล๊บคล้ายไฟฟ้าช็อต เจ็บปวดรุนแรงจนผู้ป่วยบางรายไม่สามารถสัมผัสใบหน้า เคี้ยวอาหาร และแปรงฟันได้ตามปกติ ซึ่งสร้างความยากลำบากในการใช้ชีวิตประจำวันอย่างมาก บางครั้งอาการปวดจะกระตุ้นให้มีการหดเกร็งของกล้ามเนื้อใบหน้า
การตรวจวินิจฉัยโรคนี้ สามารถทำได้โดยการสอบถามอาการจากผู้ป่วยและตรวจร่างกายร่วมด้วย ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่มีความผิดปกติของระบบประสาทส่วนอื่น แต่ถ้าผู้ป่วยมีความผิดปกติในระบบประสาทส่วนอื่นแพทย์จะส่งตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าสมอง (Magnetic resonance imaging) หรือ MRI และเมื่อตรวจพบอาการของโรคนี้แล้วแพทย์จะทำการรักษาด้วยการใช้ยาคาร์บามาซีพีน (Carbamazepine) และอ็อกคาร์บาซีพีน (Oxcarbazepine) ที่ออกฤทธิ์ลดความไวของเส้นประสาท สามารถลดความถี่และความรุนแรงของอาการปวดทั้งชนิดที่เกิดขึ้นเอง และเมื่อถูกกระตุ้น แต่เมื่อหยุดกินยาผู้ป่วยอาจจะมีอาการปวดใบหน้าเกิดขึ้นมาอีกได้ ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อยา หรือมีอาการรุนแรงเช่น มีเนื้องอกไปกดทับเส้นประสาท ต้องเข้ารับการผ่าตัด ซึ่งเป็นการรักษาที่จะทำให้ผู้ป่วยมีโอกาสหายจากอาการปวดใบหน้าได้สูง
ทั้งนี้ผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาโดยการให้ยาต้องหมั่นสังเกตอาการของตนเองอย่างสม่ำเสมอว่ามีความผิดปกติจากการแพ้ยาหรือไม่ ถ้าพบว่าแพ้ยาก็ควรหยุดยาทันทีแล้วรีบมาพบแพทย์ อีกประการหนึ่งคือผู้ป่วยไม่ควรเพิ่มขนาดของยาที่ทานเอง และหากพบว่าตนเองป่วยและต้องใช้ยาชนิดอื่นร่วมด้วยควรปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้ยาทุกครั้งเพื่อความปลอดภัย
หากผู้ป่วยที่มีอาการดังกล่าวควรเข้ารับการรักษาหรือพบแพทย์ทันที เพื่อจะได้รับการรักษาหากปล่อยไว้อาการจะเพิ่มขึ้นโดยที่ไม่สามารถที่จะใช้ชีวิตได้ตามปกติ