การปลงศพแบบนกหัสดีลิงค์ สืบสานความเชื่อชาวอีสาน
ประเพณีและความเชื่อเกี่ยวกับการปลงศพแบบนกหัสดีลิงค์ เป็นความเชื่อของกลุ่มไทย-ลาว ที่อพยพมาจากฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง เข้ามาปักหลักปักฐานในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นับเป็นเวลาหลายร้อยปี มาแล้ว http://winne.ws/n11493
ประเพณีและความเชื่อเกี่ยวกับการปลงศพแบบนกหัสดีลิงค์ เป็นความเชื่อของกลุ่มไทย-ลาว ที่อพยพมาจากฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง เข้ามาปักหลักปักฐานในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นับเป็นเวลาหลายร้อยปี มาแล้ว
ประเด็นหลักใหญ่ของการปลงศพแบบนี้ คือ การให้เกียรติครั้งสุดท้ายกับผู้ตายที่พร้อมด้วยความดีความชอบที่สังคมยอมรับ แสดงถึงอิสริยยศและฐานันดรศักดิ์ของผู้ตายให้ปรากฏต่อสาธารณชน เนื่องจากความเชื่อดั้งเดิมที่เคยมีมาอย่างเคร่งครัดผู้ที่จะได้รับการปลงศพแบบนกหัสดีลิงค์หลังเสียชีวิต คือ 1.กลุ่มอาญาสี่/อัญญาสี่ ประกอบด้วย เจ้าเมือง อุปฮาด/อุปราช ราชวงศ์ ราชบุตร และ 2.พระเถระชั้นผู้ใหญ่ของชุมชน
ในการปลงศพแบบนี้มีความเชื่อว่านกหัสดีลิงค์เป็นนกที่ยิ่งใหญ่ มีกำลังและฤทธิ์เดชมากมายมหาศาล สมควรที่จะเป็นพาหนะนำพาดวงวิญญาณของผู้ตายไปสู่สรวงสวรรค์
มีตำนานกล่าวถึงหลายตำนาน อาทิ นกหัสดีลิงค์เป็นนกที่อาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์ เป็นนกที่มีขนาดใหญ่ มีกำลังและฤทธิ์เดชมาก ลักษณะพิเศษคือ มีหัวเป็นช้าง มีร่างกายเป็นนก กินช้างและสัตว์ใหญ่เป็นอาหาร
นอกจากนี้ ยังบินไปจับคนในเมืองต่างๆ เป็นอาหาร เจ้าเมืองจึงหาบุคคลมีฝีมือที่จะสามารถฆ่านกนี้ได้ สุดท้ายเจ้านางสีดารับอาสา ใช้ศรยิงนกหัสดีลิงค์ตาย จึงทำพิธีเผานกนั้น เมื่อเจ้านายสิ้นชีวิตก็จะสร้างหุ่นนกหัสดีลิงค์ โดยวางหีบศพบนหลังนกและทำพิธีเผาไปพร้อมกับศพ กลายเป็นประเพณีสืบต่อกันมา เป็นต้น
ดังนั้น ก่อนมีพิธีเผาศพแบบนี้ทุกครั้งจะต้องทำพิธีสำคัญ คือ ฆ่านกก่อนเพราะเป็นนกร้าย ผู้ฆ่านกจะต้องทำพิธีเชิญเจ้านางสีดาเข้าประทับร่างทรงก่อนใช้ศรยิง โดยผู้ที่จะฆ่านกก็ต้องเป็นผู้หญิงสืบเชื้อสายมาจากเจ้านางสีดา รับช่วงต่อกันมาเฉพาะคนในตระกูลเท่านั้น
ศาสตราจารย์เกียรติคุณอรรถ นันทจักร ผู้เชี่ยวชาญประจำคณะศิลปกรรมศาสตร์และการออกแบบ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ให้ความเห็นกรณีนี้ว่า การปลงศพแบบนกหัสดีลิงค์ ในภาคอีสานกลุ่มแรก คือ กลุ่มพระวอ-พระตา ถือเป็นต้นเหง้าของสายเมืองอุบลราชธานี ที่เคลื่อนย้ายครัวลาวที่ใหญ่ที่สุดมาอยู่ในบริเวณที่เรียกว่าภาคอีสานของไทยในปัจจุบัน
แต่ที่มีหลักฐานเด่นชัดเป็นช่วงรัชกาลที่ 5 คือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ได้ส่งพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ปกครองมณฑลอุบลราชธานี ช่วงเวลาดังกล่าวมีกลุ่มอัญญาสี่ ขึ้นนกหัสดีลิงค์ถึง 5 คน อาทิ หม่อมเจียงคำ พระอุบลการประชานิตย์ เป็นต้น
ส่วนพระเถระชั้นผู้ใหญ่ของสายเมืองอุบลราชธานี ที่ได้ขึ้นนก หัสดีลิงค์มี 3 รูป อาทิ พระครูวิโรจน์รัตโนบล, พระอริยกวี (อ่อน ธัมมรักขิโต) เจ้าคณะใหญ่เมืองอุบลราชธานี เป็นต้น
การปลงศพแบบนกหัสดีลิงค์ในภาคอีสานตามหลักฐานส่วนใหญ่ที่ทำกันอยู่ไม่กี่แห่ง อาทิ อุบลราชธานี ร้อยเอ็ด มหาสารคาม เป็นต้น
สำหรับการปลงศพแบบนกหัสดีลิงค์ตัวแรก ในพื้นที่จังหวัดมหาสารคาม เดิมค้นพบมี 2 ครั้ง คือ งานพระราชทานเพลิงศพพระครูพิทักษ์โกสุมพิสัย หรือหลวงตาโมง แสนศักดิ์ ณ เมรุวัดโพธิ์ศรี ต.ตลาด อ.เมือง จ.มหาสารคาม วันเสาร์ที่ 1 พ.ค.2519
งานพระราชทานเพลิงศพพระอริยานุวัตร (อารีย์ เขมจารี) ปราชญ์แห่งอีสาน วัดมหาชัย วันที่ 7 เม.ย.2536
แต่หลักฐานใหม่ที่ค้นพบ ปรากฏว่าเคยมีการปลงศพแบบนก หัสดีลิงค์มาก่อนหน้าแล้วครั้งหนึ่ง ในปี 2505 คือ งานพระราชทานเพลิงศพ พระครูสุนทรสาธุกิจ หรือ หลวงปู่ซุน ติกขปัญโญ วัดติกขมณีวรรณ บ้านเสือโก้ก อ.วาปีปทุม จ.มหาสารคาม ซึ่งเป็นอดีตพระเกจิอาจารย์ชื่อดังของมหาสารคาม
มีหลักฐานสำคัญ คือ ภาพถ่ายเก่าแก่งานพิธีพระราชทานเพลิงศพ อยู่ที่วัดติกขมณีวรรณ
ช่างที่มาสร้างนกหัสดีลิงค์งานพระราชทานเพลิงศพพระครูสุนทรสาธุกิจ ปี 2505 คือ อาจารย์คำหมา แสงงาม
ส่วนงานพระราชทานเพลิงศพพระอริยานุวัตร ปี 2536 ช่างที่มาทำเป็นฝีมือของพระปลัดสมสิทธิ์ รักตสีโล อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด พร้อมทีมงาน
กลุ่มช่างที่สร้างนกหัสดีลิงค์เดิมนั้นต้องยกให้ช่างสายเมืองอุบลราชธานี ซึ่งเป็นต้นแบบของการสร้างนกหัสดีลิงค์ โดยเฉพาะกลุ่ม ช่างชั้นครู อาทิ พระครูวิโรจน์รัตโนบล ญาท่านกัญญา เป็นต้น อาจารย์คำหมา แสงงาม ก็ไปเรียนจากพระครูวิโรจน์รัตโนบล
การปลงศพแบบนกหัสดีลิงค์ดั้งเดิมในช่วงหลังค่อยๆ คลายความเคร่งครัดลงมา เนื่องจากมีสามัญชนที่จัดงานปลงศพแบบนี้อยู่บ้าง นอกจากจะเสียค่าใช้จ่ายสูงพอสมควรแล้ว ยังมีพิธีการขั้นตอนต่างๆ ที่ยุ่งยากพอสมควร
ทำให้การปลงศพแบบนี้นิยมอยู่ในบางพื้นที่ของภาคอีสานเท่านั้น