ข้อควรรู้ก่อนใช้ยาลดน้ำมูก และยาแก้แพ้ สำหรับเด็ก

จะเลือกใช้ยาตัวไหนนั้น ให้ดูว่าลูกเราเป็นภูมิแพ้ด้วยหรือไม่ ถ้าลูกเป็นภูมิแพ้ด้วย เป็นแนะนำให้กินยากลุ่มที่ 2 หรือยาแก้แพ้แบบไม่ง่วง แต่ถ้าไม่เป็น หรือเป็นแค่หวัดธรรมดา แนะนำเลือกยากลุ่มแรก หรือล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ เพื่อบรรเทาอาการคัดจมูก http://winne.ws/n11931

5.2 พัน ผู้เข้าชม
ข้อควรรู้ก่อนใช้ยาลดน้ำมูก และยาแก้แพ้ สำหรับเด็ก

         เชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่หลายท่านคงเคยมีประสบการณ์ เวลาพาลูกเป็นหวัด ไปหาหมอ หนึ่งในยาที่มักจะได้ คือ ยาแก้แพ้หรือยาลดน้ำมูก คุณแม่อาจมีคำถามในใจว่า บางครั้งได้ยาลดน้ำมูกแบบง่วง บางครั้งได้แบบไม่ง่วง บางครั้งแพ้ ก็ให้ยาชนิดเดียวกับยาลดน้ำมูก สัปสนงงงวยไปหมด วันนี้ mama expert มีคำตอบจาก ผู้เชี่ยวชาญ         พญ. กัลย์สุดา อริยะวัตรกุล กุมารแพทย์ต่อมไร้ท่อ เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่หายข้องใจ   และสงสัยดังนี้ค่ะ

         ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า อาการน้ำมูกใสๆไหล เกิดได้จาก 2 สาเหตุ คือ น้ำมูกไหลจากไข้หวัด หรือน้ำมูกไหลจากภูมิแพ้ ยาแก้แพ้ หรือยา แอนตี้ฮิสตามีน             ( antihistamine ) ที่ใช้ลดน้ำมูก มีด้วยกันทั้งหมด 2 กลุ่ม

1. ยาแก้แพ้แบบง่วง 

         เช่น คลอเฟนิรามีน (chlorpheniramine ) บรอมเฟนิรามีน (brompheniramine) สามารถใช้ลดน้ำมูกได้ทั้งจากไข้หวัดและภูมิแพ้ แต่มีข้อเสียคือ ต้องกินวันละหลายครั้ง แถมยังกินแล้วง่วง

2. ยาแก้แพ้แบบไม่ง่วง

         เป็นยากลุ่มใหม่ใช้รักษาภูมิแพ้ได้ดีกว่า มีผลข้างเคียงน้อยกว่ายากลุ่มแรก
แต่ไม่ช่วยลดน้ำมูกจากไข้หวัด ยากลุ่มใหม่ ได้แก่ เซทิริซีน (cetirizine), เฟโซเฟนาดีน (fexofenadine), ลอราทาดีน (loratadine) เป็นต้น

         สรุปคือ จะเลือกใช้ยาตัวไหนนั้น ให้ดูว่าลูกเราเป็นภูมิแพ้ด้วยหรือไม่ ถ้าลูกเป็นภูมิแพ้ด้วย เป็นแนะนำให้กินยากลุ่มที่ 2 หรือยาแก้แพ้แบบไม่ง่วง แต่ถ้าไม่เป็น หรือเป็นแค่หวัดธรรมดา แนะนำเลือกยากลุ่มแรก หรือล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ เพื่อบรรเทาอาการคัดจมูก และที่สำคัญ ควรเน้นให้ลูกได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ อาการหวัดจะดีขึ้น และสามารถหายไปได้เองใน 3-4 วัน เมื่อทราบแล้ว คุณพ่อคุณแม่เลือกใช้ให้ถูก และใช้ตามคำแนะนำของเเพทย์ เภสัชกรอย่างเคร่งครัดนะคะ

แชร์