ดื่มน้ำอุ่นดีอย่างไร ? ดื่มน้ำอุ่นตอนไหนบ้าง จึงจะมีประโยชน์ต่อร่างกายจริง ?
ร่างกายดูดซึมน้ำอุ่นได้ง่ายกว่าน้ำเย็น เพราะน้ำอุ่นมีอุณหภูมิใกล้เคียงกับร่างกาย(อุณหภูมิปกติของร่างกาย ๓๗ องศาเซลเซียส) ถ้าเราดื่มน้ำอุ่นหรือจิบน้ำร้อนเข้าไป ร่างกายก็จะดูดซึมได้ทันที http://winne.ws/n12836
ร่างกายดูดซึมน้ำอุ่นได้ง่ายกว่าน้ำเย็น เพราะน้ำอุ่นมีอุณหภูมิใกล้เคียงกับร่างกาย(อุณหภูมิปกติของร่างกาย ๓๗ องศาเซลเซียส) ถ้าเราดื่มน้ำอุ่นหรือจิบน้ำร้อนเข้าไป ร่างกายก็จะดูดซึมได้ทันที
การดื่มน้ำให้เพียงพอ
การดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายนั้นอย่าไปกำหนดเพียงว่าวันนี้ต้องได้ปริมาณของน้ำ ๑๐ แก้ว หรือ ๒๐ แก้วแล้วพอ แต่ให้คำนึงถึงสภาพดินฟ้าอากาศที่แวดล้อมตัวเรา(กลางแดด/ถูกพัดลมเป่า) และกิจกรรมที่เราทำในแต่ละวันด้วยเป็นเกณฑ์ (ออกกำลังกายเสียเหงื่อมาก ๆ) อย่างนี้น้ำ ๑๐แก้วไม่พอแล้ว อาจจะต้องเพิ่มเป็น ๑๔ ถึง ๑๕ แก้ว เป็นต้น
มีวิธีสังเกตอย่างง่าย ๆ ก็คือ ปัสสาวะมีสีใสเหมือนน้ำที่ดื่มเข้าไป แสดงว่าการดื่มน้ำในวันนั้นเพียงพอ แต่ถ้าปัสสาวะขุ่นคลั่กเหลืองอ๋อย หรือเป็นสีชาชงแก่ ๆ ต้องดื่มน้ำเพิ่มเข้าไปอีกให้มากพอ
" คนที่ดื่มน้ำเป็น พอตื่นเช้าจะรีบดื่มน้ำอุ่น ๆ ๒ ถึง ๓ แก้วทันที เพื่อให้ร่างกายสดชื่นเร็วที่สุด "
ก่อนรับประทานอาหารเช้าอาจจะดื่มน้ำอีกสักแก้วครึ่งแก้วก็ได้ (เพื่อช่วยย่อย)แต่ไม่ควรมากกว่านั้น (เพราะจะทำให้นำ้ย่อยเจือจาง)
ครั้นหลังรับประทานอาหารเสร็จให้ดื่มน้ำตามไปสัก ๑ แก้วทันที ทิ้งช่วงอีกสักพักจึงดื่มน้ำตามเข้าไปอีก ๑ ถึง ๒ แก้ว กระเพาะอาหาร และ ลำไส้ ก็จะสามารถบีบย่อยอาหารได้ง่าย จึงทำให้เราไม่ง่วงไม่เพลีย
สำหรับคนที่ต้องเดินทางออกจากบ้านในตอนเช้า เมื่อรับประทานอาหารเช้าเสร็จก็ดื่มน้ำอีกกี่แล้วก็ดื่มได้ตามความพอใจ ไม่กระทบต่อระบบการย่อยอาหาร
ก่อนนอนก็เหมือนกัน ก่อนนอน ๒ ชั่วโมงอย่าดื่มน้ำมาก ถ้าในระหว่าง ๒ ชั่วโมงนี้ กระหายน้ำก็ดื่มเพียงเล็กน้อย มิฉะนั้นจะต้องลุกเข้าห้องน้ำในตอนดึกอีก(ทำให้พักผ่อนไม่เพียงพอ)
ยกเว้นในกรณีบุคคลที่ไม่สามารถดื่มน้ำได้มากเหมือนคนทั่วไป เช่น ผู้ป่วยเป็นโรคไต ผู้ที่ป่วยเป็นโรคหัวใจขั้นร้ายแรง (หัวใจล้มเหลว หรือ หัวใจวาย) เป็นต้น (เกิดอาการบวม หรือ อาการเหนื่อยหอบ)
ขอขอบคุณ "บทความเพื่อสุขภาพที่ดี" จาก...http://dharma.thaiware.com/mobile/article_mobile_detail.php?article_id=164