ชายชาวบูร์กินาฟาโซ ปลูกพืชแบบดั้งเดิม เปลี่ยนทะเลทราย..เป็นพื้นที่สีเขียว

ชายชาวบูร์กินาฟาโซ ผู้ไม่เคยเรียนหนังสือ อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ ฐานะยากจน อีกทั้งยังไม่เคยรู้เกี่ยวกับเทคนิคการเกษตรใด ๆ แต่ด้วยสมอง สองมือ และความรักที่มีต่อต้นไม้ เขาจึงลงมือปลูกพืชบนดินแห้งแล้งของแอฟริกา จนได้รับการขนานนามว่า ชายผู้หยุดยั้งทะเลทราย http://winne.ws/n1761

2.4 พัน ผู้เข้าชม

ยาโคบา ซาวาโดโก เป็นเกษตรกรที่ใช้วิธีปลูกพืชแบบโบราณดั้งเดิมหรือที่เรียกว่า ไซ (Zai) ในยุคที่หลายคนหันไปพึ่งพาเทคโนโลยีใหม่ๆ กันจนลืมของเก่า แต่ยาโคบายังคงตั้งหน้าตั้งตาปลูกพืชด้วยวิธีนี้ต่อไป นั่นเป็นเพราะว่าเขาไม่เคยมีโอกาสศึกษาเทคนิคปลูกพืชแบบอื่นเลย

ชายชาวบูร์กินาฟาโซ ปลูกพืชแบบดั้งเดิม เปลี่ยนทะเลทราย..เป็นพื้นที่สีเขียว

จากข้อมูลที่ปรากฏในเว็บไซต์ conservationmagazine.org พบว่า ย้อนกลับไปในช่วงปี 1980 ปัญหาภัยแล้งคุกคามพื้นที่แถบซาเฮลของแอฟริกาอย่างหนัก พืชผักและป่าถูกทำลายจนแผ่นดินกลายเป็นทะเลทรายขนาดย่อมๆ  ชาวบ้านพากันอพยพหนีตาย แต่ยาโคบายังขออาศัยอยู่ที่นี่เพื่อฟื้นฟูป่าด้วยการเพาะปลูกแบบ "ไซ" (Zai)

ชายชาวบูร์กินาฟาโซ ปลูกพืชแบบดั้งเดิม เปลี่ยนทะเลทราย..เป็นพื้นที่สีเขียว

วิธี "ไซ" ที่ว่านี้ก็คือการขุดดินให้เป็นหลุมเพาะปลูก ยาวประมาณ 20-30 เซนติเมตรและลึกราว 90 เซนติเมตร เมื่อถึงฤดูฝน ดินที่เป็นแอ่งเช่นนี้จะสามารถกักตุนความชุ่มชื้นได้มากกว่าการปลูกพืชบนหน้าดินแบบปกติ และมันจะคงสภาพเช่นนี้ต่อไป แม้ว่าจะเป็นกลางฤดูแล้งก็ตาม

อันที่จริงแล้ว ไซ ถูกลืมและสูญหายไปตามกาลเวลาแต่ยาโคบานำมันกลับมาอีกครั้ง ด้วยความตั้งใจที่จะคืนพื้นที่สีเขียวบนพื้นที่แห้งแล้งและร้อนระอุแน่นอนว่าเขาทำสำเร็จจริง ๆ เสียด้วย ยาโคบาพบว่าดินที่ถูกขุดเพื่อปลูกพืชด้วยวิธีไซ กลับคืนมามีสภาพดีอีกครั้ง แร่ธาตุและสารอาหารต่าง ๆในดินก็เพิ่มจำนวนมากขึ้นด้วย

ชายชาวบูร์กินาฟาโซ ปลูกพืชแบบดั้งเดิม เปลี่ยนทะเลทราย..เป็นพื้นที่สีเขียว

เรื่องราวของยาโคบาถูกเผยแพร่ไปทั่วโลกในปี 2010 หลังจากที่มีการถ่ายทำสารคดีเรื่องThe Man Who Stopped the Desert (ชายผู้หยุดยั้งทะเลทราย) ซึ่งว่าด้วยเรื่องราวชีวิตของยาโคบาตลอดจนเทคนิคปลูกพืชที่ได้ผลดีอย่างมากของเขา

ปัจจุบันเกษตรกรท้องถิ่นในแถบแอฟริกาตะวันตกต่างยึดหลักการเพาะปลูกแบบ ไซ ของยาโคบา และนำมันมาประยุกต์เข้ากับการเกษตรยุคใหม่เพื่อรักษาสมดุลการผลิตอาหารในแถบนี้ และเพื่อเตรียมรับมือกับภัยจากภาวะโลกร้อนที่ส่งผลกระทบต่อพวกเขามากขึ้นทุกปี

ภาพจาก brightside.me

แชร์