ก่อนจะเข้าสู่เมษายน เดือนที่ร้อนที่สุดของไทย เรามาเตรียมความพร้อมให้กับร่างกายอย่างถูกวิธีตั้งแต่เนิ่นๆ ถือเป็นการป้องกันโรคภัยที่ตามมาพร้อมฤดูร้อนได้มากกว่าครึ่ง คุณมุ่ย-สลิลาพร กองทองมณีโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มี อินฟินิตี้ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ “เจ้าแม่สมุนไพร” มาแนะนำวิธีง่ายๆ จากการดูแลสุขอนามัยพื้นฐาน ออกสตาร์ทกันตั้งแต่การหลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้งเป็นเวลานาน หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ให้สวมใส่เสื้อคลุม ใส่หมวก หรือกางร่ม ควรเลือกสวมใส่เสื้อผ้าเนื้อเบาเบา ถ่ายเทอาการได้ดีไม่อับชื้น ขนาดไม่คับจนเกินไป รูปทรงสวมใส่ได้สบายตัว ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอต่อความต้องการอย่างน้อย 8 แก้วต่อวัน อย่างสม่ำเสมอ

นอกจากนี้สิ่งที่น่าเป็นห่วงกว่าอื่นใด คือเรื่องอาหารการกิน เพราะอากาศร้อนเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้อาหาร ไม่สะอาด เกิดแบคทีเรียซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการท้องร่วงหรือท้องเสียได้ง่ายๆ จึงขอแนะนำ “การรับประทานอาหารตามธาตุเจ้าเรือน” ซึ่งเป็นตำราแพทย์แผนไทยที่แนะนำอาหารที่เหมาะสม และควรหลีกเลี่ยงสำหรับคนแต่ละธาตุ หรือคนเกิดในเดือนแต่ละเดือน ก็สามารถช่วยได้ ด้วยความเชื่อที่ว่าอาหารที่เหมาะกับธาตุเดือนจะช่วยปรับสมดุลของธาตุในร่างกาย ทำให้ร่างกายแข็งแรง พร้อมสู้กับโรคภัยรอบตัว โดย “การรับประทานอาหารตามธาตุเจ้าเรือน” ถูกแบ่งออกเป็น 4 ธาตุ ดังนี้… 

เริ่มธาตุแรกที่ “ธาตุไฟ” คือคนที่เกิดในเดือนมกราคม-มีนาคม อารมณ์ของคนธาตุนี้สมกับเป็นคนธาตุไฟจริงๆ ค่ะ เพราะจะขี้ร้อน ขี้หงุดหงิด มักจะปวดหัว และท้องผูกง่าย เพราะคนธาตุไฟส่วนใหญ่จะมีระบบเผาผลาญดีจนร่างกายไม่เก็บกักน้ำ ด้วยความเป็นธาตุไฟก็จะเผาผลาญอาหารได้ดีมาก สิ่งที่ควรถอยห่างเลยคือเมนูที่มีความหวานจัด มันจัด และอาหารปิ้งย่างทั้งหลาย เพราะจะยิ่งเพิ่มความร้อนในร่างกาย และทำให้เป็นร้อนในได้ง่าย นอกจากนี้ยังควรงดผลไม้อย่างลำไย และทุเรียนด้วย แต่ถ้าหากเป็นผลไม้สุดโปรดอดใจลำบากก็ทานแต่น้อยพอหายอยาก ส่วนหน้าร้อนนี้แนะนำให้คนธาตุไฟรับประทานเครื่องดื่มเย็นๆ เช่น น้ำเก๊กฮวย (ไม่เติมน้ำตาล) น้ำอัญชัน น้ำมะระ ถ้าเป็นสมุนไพรก็ต้องอยู่ในหมวดให้รสเย็น อย่างเช่น แกงจืดฟัก ใบบัวบก เพื่อช่วยระบายความร้อนในร่างกาย

ต่อมา “ธาตุลม” คือคนที่เกิดในเดือนเมษายน-มิถุนายน ซึ่งชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าธาตุลม คนธาตุนี้จึงมีลมอยู่ในร่างกายเยอะ ตามตำราบอกว่ามักจะท้องอืด ปวดหัว นอนไม่หลับ วิงเวียนศีรษะ ส่วนใหญ่คนธาตุลมจะเป็นคนผอมบาง เมื่อรู้ว่าตัวเองผอมรับประทานเท่าไรก็ไม่อ้วนจึงไม่ระวังเรื่องการรับประทาน ส่งผลให้ป่วยด้วยโรคไขมันในเลือดสูง

ส่วนสิ่งที่ไม่ควรรับประทานเลยในหน้าร้อนนี้คือน้ำอัดลม อาหารหวานๆ มันๆ นมเนย ชีส และอาหารที่มีแก๊สเยอะ เพราะจะย่อยยาก ทำให้ท้องผูก แต่สิ่งที่รับประทานได้เต็มที่และดีด้วยคืออาหารรสเผ็ดร้อน พวกน้ำขิง น้ำตะไคร้ เครื่องเทศรสร้อนแรง กระชาย พริกไทย ฯลฯ เพราะตามธรรมชาติลมจะเคลื่อนไหวด้วยความร้อน สมุนไพรที่มีรสร้อนจะช่วยขับลมได้ค่ะ 

“ธาตุน้ำ” คือ คนที่เกิดในเดือนกรกฎาคม-กันยายน ร่างกายของคนธาตุน้ำจะมีน้ำเป็นส่วนประกอบหลัก ในตำราบอกว่าคนธาตุน้ำมักจะมีภาวะน้ำเหลืองเสียหรือน้ำเหลืองไม่ดี เป็นภูมิแพ้ ฮอร์โมนเพศไม่สมดุล ควรหลีกเลี่ยงอาหารจำพวกนมเนย เนื้อสัตว์ที่อาจมีการปนเปื้อน ที่สำคัญคนธาตุน้ำจะบวมน้ำได้ง่ายกว่าธาตุอื่นๆ ให้งดอาหารรสเค็มและอาหารที่มีผงชูรสเยอะ พวกอาหารสำเร็จรูปและอาหารแปรรูป สิ่งที่ควรรับประทาน คืออาหารและผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น ยำผลไม้ น้ำส้มคั้น มะขาม มะยม ฯลฯ เพราะจะช่วยแก้ภาวะน้ำเหลืองเสียได้ หรือจะให้ดีเลยคือน้ำมะขามป้อม รสชาติออกเปรี้ยวฝาดค่อนไปทางขม แต่พอกลืนน้ำตามรสจะหวานฉ่ำ ชุ่มคอชื่นใจ ช่วยปรับสมดุลในร่างกาย

มาถึงธาตุสุดท้าย “ธาตุดิน” คือคนที่เกิดในเดือนตุลาคม-ธันวาคม ข้อได้เปรียบของคนธาตุดินคือรับประทานได้หมดทุกอย่าง ถ้าโบราณก็จะบอกว่าไม่มีของแสลง ด้วยความที่รับประทานได้ทุกอย่างแบบนี้นี่เองจึงทำให้อ้วนง่ายกว่าธาตุอื่น เพราะมีระบบการดูดซึมร่างกายที่ทำงานได้ดี แต่ระบบเผาผลาญอาจจะไม่ดีเพียงพอ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง คืออาหารหวานๆ มันๆ

นอกจากนี้ พืชตระกูลหัวหรือพืช ที่มีหัวอยู่ใต้ดินอย่างเผือก มัน ฯลฯ ก็ควรเลี่ยงด้วย แต่ยิ่งพอหน้าร้อนอากาศจะเป็นตัวกระตุ้นให้อยากกินแต่ของหวานๆ ควรจะงดของหวาน ทานแป้งให้น้อยลงแต่ไม่ต้องถึงขั้นงด และเน้นทานผัก เครื่องดื่มหน้าร้อนนี้ สำหรับคนธาตุดินแนะนำให้ดื่มน้ำมะนาว เพราะวิตามินซีเยอะ ชุ่มคอ และดับร้อนได้ด้วย

การที่เรารับประทานอาหารให้ถูกวิธี สอดคล้องและตรงตามธาตุเจ้าเรือนของเรา อย่างน้อยก็ช่วยป้องกันการเกิดโรคภัยไข้เจ็บได้ ทำให้เรามีสุขภาพดีได้โดยไม่มีผลข้างเคียงจากสารเคมีตกค้าง หากควบคู่ไปกับการออกกำลังกายสม่ำเสมอ 3-5 ครั้งต่อสัปดาห์ รวมถึงการทำจิตใจให้สุข สงบ สดใส ไม่เครียดก็จะยิ่งทำให้สุขภาพดีและเป็นสุขได้ทุกฤดูนะค่ะ                    

ขอขอบคุณ : เดลินิวส์