"พญาม้ากัณฐกะ"พระราชพาหนะนำเจ้าชายสิทธัตถะออกบวช
พญาม้ากัณฐกะนั้นมีตัวยาวถึง ๑๘ ศอก ส่วนสูงพอสมควรกัน มีสีขาวดังสังข์ที่ขัดใหม่ ศรีษะดำเหมือนสีแห่งกา ผมที่หน้าผากขาวเหมือนไส้หญ้าปล้อง. มีกำลังมาก สมเป็นราชพาหนะของพระเจ้าจักรพรรดิ http://winne.ws/n24151
พญาม้ากัณฐกะ...
พญาม้ากัณฐกะนั้นมีตัวยาวถึง ๑๘ ศอก ส่วนสูงพอสมควรกัน มีสีขาวดังสังข์ที่ขัดใหม่ ศรีษะดำเหมือนสีแห่งกา ผมที่หน้าผากขาวเหมือนไส้หญ้าปล้อง. มีกำลังมาก สมเป็นราชพาหนะของพระเจ้าจักรพรรดิ อยู่ที่โรงม้าต้น อันสว่างด้วยประทีปน้ำมันหอม ดาษด้วยเพดาน ห้อยย้อยด้วยดอกไม้ ปูด้วยแก้วมณี
นายฉันนะ ก็ได้ไปตามรับสั่ง ส่วนพระยาม้ากัณฐกะเห็นนายฉันทะ ผูกเครื่องม้าแน่นหนากว่าแต่ก่อน ก็คิดว่า
วันนี้คงจะมีเหตุการณ์ เป็นแม่นมั่น น่าจะเป็นดั่งโหรทำนายไว้ว่า พระลูกเจ้าจะเสด็จออกบรรพชา นึกดังนี้แล้วก็ร้องขึ้นด้วยเสียงอันดัง ก้องกรุงกบิลพัสดุ์ถึง ๓ ครั้ง แต่เทวดาบันดาลไม่ให้ผู้ใดได้ยิน
ฝ่ายพระมหาบุรุษเมื่อตรัสสั่งนายฉันนะ แล้วก็ทรงดำริว่า เราจะต้องไปดูหน้าราหุลก่อน จึงเสด็จไปที่ห้องบรรทมของพระนางพิมพา. ซึ่งทรงบรรทมอยู่กับพระราหุล เสด็จถึงประตูห้องบรรทมทอดพระเนตรเห็นพระราชโอรสพระราชเทวีแล้ว อยากทรงอุ้มพระราชโอรส แต่กลัวพระราชเทวีจะตื่น จึงรีบเสด็จกลับ แล้วยกพรหัตถ์ขวาขึ้นลูบตัวพญาม้ากัณฐกะ แล้วตรัสว่า
กัณฑกะเจ้าจงพาเราไปให้ตลอดราตรีวันนี้ เวลาเราได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วจะโปรด โลกทั้งปวง
เมื่อพญาม้าได้ฟังดังนี้ก็แสนที่จะยินดีจึงร้องขึ้นอีกครั้งหนึ่ง แต่ไม่มีใครได้ยิน ด้วยเทวานุภาพ แล้วพระมหาบุรุษจึงขึ้นทรงพญาม้า ท้าวโลกบาลทั้ง ๔ ก็เข้ารักษาล้อมพญาม้าในทิศทั้ง ๔
ส่วนนายฉันนะจับหางม้าเกาะไปในเบื้องหลัง คือ ใช้งามหัวแม่เท้าทั้งสองข้าง เหยียบข้อเข่าข้างหลังของพญาม้าให้แน่น ส่วนมือก็จับหางไว้ให้ดี เมื่อพญาม้ายกเท้าก้าวไปอย่างไร ช้าเร็วอย่างไร ก็ปล่อยแข้งขา ของตัวให้เป็นไปตามอย่างนั้น
( ตามวิธุรชาดก ว่าเมื่อชาติก่อนโน้น นายฉันนะได้เกิดเป็นปุณณกะยักษ์ รับอาสาพญานาคไปนำเอาหัวใจพระวิธูรบัณฑิต ให้พระวิธูรบัณฑิต ยึดหางม้าพาเหาะไปในอากาศ. มาในชาตินี้ วิธูรบัณฑิตได้มาเป็นพระมหาบุรุษเจ้า ปุณณกยักษ์เสนาบดีจึงได้มาเกิดเป็นนายฉันนะ เกาะหางม้า ออกบรรพชา )
ด้วยบุพกรรมอันนั้นตามมาพอเสด็จถึงประตูวังและประตูเมืองก็มีเทวดาเปิดประตูถวาย ประตูนั้นมีบางหนาหนักยิ่งนัก ต้องบุรุษพันคนจึงจำหุ่นยนต์เปิดออกได้ มีส่วนสูงถึง ๑๘ ศอกเท่ากับกำแพง
เพราะพระราชบิดาทรงทำไว้ เพื่อป้องกันการเสด็จหนีออกบรรพชา
เวลานั้นเป็นเวลาเที่ยงคืนพระมหาบุรุษทรงดำริว่า ถ้าประตูไม่เปิด เราจะคลีบม้าด้วยขาทั้งสองพาม้ากระโดดข้ามกำแพงออกไป
นายฉันนะก็คิดว่า..ถ้าประตูไม่เปิดเราจับอุ้มเอาม้า กับพระลูกเจ้ากระโดดข้ามกำแพง
พญาม้าก็คิดว่า. ถ้าประตูไม่เปิด เราก็จะพาพระลูกเจ้าและนายฉันนะ กระโดดออกไป. แต่พอถึงประตูเทพเจ้าทั้งหลายก็เปิดประตูถวาย
เมื่อเสด็จออกประตูพระราชวังแล้ว พญาวสวัตตีมาราธิราช ผู้ใจบาป. ผู้มีจิต
ริษยา. ก็เหาะมายืนอยู่ที่อากาศ. ยกมือขึ้นห้ามว่า....
พระราชกุมาร อีก ๗ วัน สมบัติจักรพรรดิจะมาถึงท่านท่านจงคืนเข้าวังเถิด แต่พระมหาบุรุษไม่เชื่อฟังได้เสด็จเลยออกไปจนพ้นประตูพระนคร คืนวันนั้นเป็นวันอาสาฬหบูชา คือ เดือน 8 เพ็ญ เพียงคืนนั้นทรงเสด็จข้าม ๓ ราชอาณาเขต คือ เขตกรุงกบิลพัสดุ์ สาวัตถี และเวสาลี ถึงแม่น้ำอโนมาในเวลาสว่าง
แม่น้ำอโนมานั้นกว้างได้ ๘ อสุภะ ( ๑ อสุภะ = ๒๕ วา ) พระมหาบุรุษ จึงเตือนผนังม้า ด้วยซ่นพระบาท พญาม้าก็เผ่นข้ามแม่น้ำอโนมาไปลงฝั่งโน้น ด้วยกำลังม้าจักรพรรดิ์ แล้วพระมหาบุรุษจึงเสด็จลงจากหลังม้าประทับนั่ง แล้วตรัสสั่งนายฉันนะว่า จงนำเครื่องประดับม้ากับม้านี้กลับเมือง เราจักบรรพชาในที่นี้
ขอบคุณข้อมูลจาก
เพจนาควีโร ภิกขุ ศิริ