รักแบบนี้ใครมีรีบเปลี่ยน ระวังจะสายเกินเยียวยา

บิดามารดากันคิดว่า ประโยชน์อะไรด้วยการที่จะให้บุตรนี้ลำบากในการศึกษาศิลปะ บุตรของเราอย่าต้องลำบากกายและจิต ให้เขาบริโภคโภคสมบัติตามสบายเถิด คิดดังนี้แล้ว จึงไม่ให้บุตรศึกษาศิลปะใดๆเลย http://winne.ws/n25142

1.4 พัน ผู้เข้าชม
รักแบบนี้ใครมีรีบเปลี่ยน ระวังจะสายเกินเยียวยา

เรื่อง พ่อแม่รังแกฉัน

ได้ยินว่า ในกรุงราชคฤห์ มีเศรษฐีคนหนึ่ง เป็นคนมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก มีเครื่องอุปกรณ์แห่งทรัพย์ที่น่าปลื้มใจอย่างมากมาย สั่งสมทรัพย์ไว้เป็นจำนวนหลายโกฏิ. เขามีบุตรคนเดียว น่ารัก น่าชอบใจ เมื่อบุตรนั้น เจริญวัยจนรู้เดียงสา บิดามารดากันคิดว่า เมื่อบุตรของเราจ่ายทรัพย์ให้สิ้นเปลืองไปวันละ ๑,๐๐๐ ทุกวัน แม้ถึงร้อยปี ทรัพย์ที่สั่งสมไว้นี้ ก็ไม่หมดสิ้นไป. จะประโยชน์อะไรด้วยการที่จะให้บุตรนี้ลำบากในการศึกษาศิลปะ บุตรของเราอย่าต้องลำบากกายและจิต ให้เขาบริโภคโภคสมบัติตามสบายเถิด คิดดังนี้แล้ว จึงไม่ให้บุตรศึกษาศิลปะใดๆเลย

ครั้นเมื่อบุตรเจริญวัยแล้ว มารดาบิดาได้นำหญิงสาวแรกรุ่น ผู้สมบูรณ์ด้วยสกุลรูปร่างความเป็นสาว และความงาม เขาเอิบอิ่มด้วยกามคุณ บ่ายหน้าออกจากธรรมสัญญา อภิรมย์อยู่กับหญิงสาวนั้น ไม่ได้เกิดแม้ความคิดถึงธรรม ไม่มีความเอื้อเฟื้อ ในสมณพราหมณ์และคนที่ควรเคารพ เป็นผู้ห้อมล้อมด้วยพวกนักเลง กำหนัด ยินดี ติดอยู่ในกามคุณ ๕ เป็นผู้มืดมนไปด้วยโมหะ ปล่อยเวลาผ่านไปโดยไร้ประโยชน์ 

รักแบบนี้ใครมีรีบเปลี่ยน ระวังจะสายเกินเยียวยา

เมื่อมารดาบิดา ถึงแก่กรรมลง เขายิ่งใช้จ่ายทรัพย์อย่างสุรุ่ยสุร่าย ด้วยการให้สิ่งที่ปรารถนาแก่ นักรำ นักร้อง เป็นต้น ผลาญทรัพย์ให้วอดวายไป ไม่นานเท่าไรนัก ก็สิ้นเนื้อประดาตัว เที่ยวขอยืมเงินเลี้ยงชีวิต ยืมหนี้ไม่ได้อีก ถูกพวกเจ้าหนี้ ทวงถามก็ต้องให้ที่นาที่สวนและเรือน ของตนแก่พวกเจ้าหนี้เหล่านั้น   ถือกระเบื้อง เที่ยวขอทานกิน พักอยู่ที่ศาลาคนอนาถา ในพระนครนั้นนั่นเอง

อยู่มาวันหนึ่ง พวกโจร มาประชุมกัน กล่าวกะเขาว่า ผู้เจริญ ท่านเป็นอยู่ลำบากอย่างนี้ จะมีประโยชน์อะไร ท่านยังเป็นหนุ่ม เรี่ยวแรงกำลังก็สมบูรณ์ เหตุไฉนท่านจึงอยู่เหมือนมือเท้าพิกลเล่า มาเถิด มาร่วมกับพวกเรา เที่ยวปล้นทรัพย์พวกชาวบ้านแล้ว เป็นอยู่สบายดี 

เขากล่าวว่าเราไม่รู้วิธีทำโจรกรรม จะร่วมกับพวกท่านได้อย่างไร

พวกโจรตอบว่า พวกเราจะสอนให้ท่านเอง  เพียงท่านเชื่อคำของพวกเราเท่านั้น

เพราะความที่ไม่รู้เลยว่าความดีความชั่วเป็นอย่างไร เขาจึงรับคำแล้วได้ไปกับพวกโจรเหล่านั้น พวกโจรเหล่านี้ ใช้ให้เขาถือฆ้อนใหญ่ ตัดช่องย่องขึ้นเรือน ให้เขายืนตรงที่ปากช่องแล้วสอนว่า ถ้าคนอื่นมาในที่นี้ เจ้าจงเอาไม้ฆ้อนนี้ทุบผู้นั้นทีเดียวให้ตายเลย.

เขาเป็นคนบอดเขลา ไม่รู้สิ่งที่เป็นประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ ได้ยืนอยู่แต่ในที่นั้น มองดูทางมาของคนเหล่าอื่นอย่างเดียว. ฝ่ายพวกโจร เข้าไปยังเรือนแล้ว ถือเอาสิ่งของที่ควรถือเอาไปด้วย พอพวกคนในเรือนรู้ตัวเท่านั้น ก็พากันหนีไปคนละทิศ คนละทาง. 

พวกคนในเรือน ลุกขึ้น ต่างก็พากันวิ่งไล่โดยเร็ว พร้อมกับดูข้างโน้นข้างนี้ เห็นเขา ยืนอยู่ตรงช่องประตูจึงร้องตะโกนเสียงลั่นว่า เฮ้ย คนร้ายอยู่นี้ แล้วพากันจับไว้ เอาไม้ฆ้อน ทุบมือและเท้า  แล้วนำไปแสดงแด่พระราชา  กราบทูลว่า ขอเดชะ คนนี้เป็นโจร พวกข้าพระองค์จับได้ที่ปากช่องประตู พระเจ้าข้า.   

พระราชาทรงมีพระบัญชาให้ผู้รักษาพระนครลงโทษด้วยพระดำรัสว่า จงตัดศีรษะของมัน ผู้รักษาพระนคร รับสนองพระบรมราชโองการแล้ว จึงให้จับเขามัดไพล่หลังอย่างมั่นคง ให้ตระเวนประจานทั่วพระนคร    

เขาถูกคล้องคอด้วยพวงมาลัยสีแดงห่าง ๆ มีศีรษะเปื้อนด้วยผงอิฐ ตามทางที่เขาแสดงด้วยกลอง ตีประจานโทษ จากทางรถบรรจบทางรถ จากทางสี่แพร่งบรรจบทางสี่แพร่ง ถูกเฆี่ยนด้วยหวาย พลางนำไปยังสถานที่ประหารชีวิต  ประชาชนพากันแตกตื่นว่า ในพระนครนี้ เขาจับโจรปล้นสะดมคนนี้ได้.

ครั้งนั้น ในพระนครนั้น มีหญิงงามเมืองคนหนึ่ง ชื่อว่าสุลสา ยืนอยู่ที่ปราสาทมองไปตามช่องหน้าต่าง เห็นเขาถูกนำไปอย่างนั้น  จำได้ว่าเขาเป็นชายที่เคยบำเรอนางมาในกาลก่อน จึงเกิดความสงสารเขาขึ้นว่า ชายคนนี้ เคยเสวยสมบัติเป็นอันมากในพระนครนี้เอง บัดนี้ถึงความพินาศวอดวายถึงเพียงนี้ จึงส่งขนมต้ม ๔ ลูก และน้ำดื่มไปให้ และได้แจ้งให้ผู้รักษาพระนครทราบว่า ขอเจ้านาย จงรอจนถึงชายผู้นี้กินขนมต้มเหล่านี้แล้วดื่มน้ำก่อน. 

ในระหว่างนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ตรวจดูด้วยทิพยจักษุ เห็นชายคนนั้นจะถึงความวอดวาย ด้วยความกรุณาเตือนใจคิดว่า ชายคนนี้ ไม่เคยทำบุญ ทำแต่บาป เพราะฉะนั้น เขาจะเกิดในนรกเป็นแน่  แต่ครั้นพอเราไป เขาถวายขนมต้มและน้ำดื่มแล้วจักเกิดเป็นภุมมเทพ ไฉนหนอ เราจะพึงเป็นที่พึ่งของชายผู้นี้ได้  คิดดังนี้แล้วจึงไปปรากฏข้างหน้าของเขา ในขณะที่เจ้าหน้าที่นำน้ำดื่มและขนมต้มเข้าไปให้เขา  

ครั้นเขาเห็นพระเถระก็มีจิตเลื่อมใส คิดว่า เรากำลังจะถูกคนเหล่านี้ฆ่าในบัดนี้เอง จะมีประโยชน์อะไรกับการกินขนมต้มเหล่านี้ ก็ผลทานที่เราถวายแก่พระเถระนี้ จักเป็นเสบียงสำหรับเราผู้ไปสู่ปรโลก คิดแล้วจึงขอให้เจ้าพนักงานถวายขนมต้มและน้ำดื่มแด่พระเถระ. 

เพื่อจะเจริญความเลื่อมใสของชายผู้นั้น เมื่อชายผู้นั้น กำลังดูอยู่นั่นแหละ พระเถระจึงนั่งในที่นั้น ฉันขนมต้มและดื่มน้ำ  แล้วลุกจากอาสนะหลีกไป  ฝ่ายชายผู้นั้น ถูกเพชฌฆาตนำไปสู่ที่ประหาร แล้วตัดศีรษะ เขาถึงแก่ความตายในที่นั้นนั่นเอง

ด้วยบุญที่เขาทำไว้ในพระมหาโมคคัลลานเถระ ผู้เป็นบุญเขตอย่างยอดเยี่ยม สมควรจะเกิดในเทวโลกชั้นเยี่ยม แต่เพราะเหตุที่เขามีจิตเศร้าหมอง ในเวลาใกล้จะตาย เพราะความเสน่หาที่มุ่งถึงนางสุลสาว่า เราได้ไทยธรรมนี้ เพราะอาศัยนางสุลสา ฉะนั้น เขาจึงเกิดเป็นหมู่เทพชั้นต่ำ เป็นรุกขเทวดาที่ต้นไทรใหญ่มีร่มเงาอันสนิท ที่แถบภูเขา

ได้ยินว่า ถ้าในปฐมวัย เขาขวนขวายในการดำรงวงศ์สกุล เขาจะเป็นเศรษฐีผู้เลิศกว่าเศรษฐีทั้งหลาย ในพระนครนั้น ถ้าขวนขวายในมัชฌิมวัย เขาจะเป็นเศรษฐีในวัยกลางคน ถ้าขวนขวายในปัจฉิมวัย เขาก็จะเป็นเศรษฐีในวัยสุดท้าย. แต่ถ้าในปฐมวัยเขาได้บวช เขาก็จะได้เป็นพระอรหันต์. ถ้าบวชในมัชฌิมวัย เขาก็จะได้เป็นพระสกทาคามี หรือพระอนาคามี. ถ้าบวชในปัจฉิมวัย เขาก็จักได้เป็นพระโสดาบัน. แต่เพราะเขาคลุกคลีกับมิตรชั่ว เขาจึงเป็นนักเลงหญิง นักเลงสุรา ยินดีแต่ในทุจริต เป็นคนไม่เอื้อเฟื้อ เสื่อมจากสมบัติทั้งปวง ถึงความย่อยยับอย่างใหญ่หลวง โดยลำดับ"      

รักแบบนี้ใครมีรีบเปลี่ยน ระวังจะสายเกินเยียวยา

ครั้นสมัยต่อมา เทพบุตรนั้นเห็นนางสุลสาไปสวน เกิดกามราคะ เนรมิตให้มืดแล้วนำนางไปยังภพของตน อยู่ร่วมกับนางตลอด ๗ วัน และได้แนะนำตนแก่นาง. มารดาของนางเมื่อไม่เห็นนาง ร้องไห้พลางวิ่งพล่านไปข้างโน้นข้างนี้. 

มหาชนเห็นเข้าเกิดความสงสาร จึงกล่าวว่า พระคุณเจ้ามหาโมคคัลลานะ เป็นผู้มีฤทธิ์มากมีอานุภาพมาก จะพึงรู้คติของนาง ท่านพึงเข้าไปหาท่านแล้วไต่ถามเถิด. 

นางรับคำแล้วเข้าไปหาท่าน ถามความนั้น. 

พระเถระกล่าวว่า ในวันที่ ๗ นับแต่วันนี้ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมในพระเวฬุวันมหาวิหาร เธอจะเห็น ณ ที่สุดบริษัท. 

ฝ่ายนางสุลสาได้กล่าวกะเทวบุตรนั้นว่า เทวดา การที่เราอยู่ในภพของท่าน เป็นการไม่สมควร วันนี้ เป็นวันที่ ๗ มารดาของฉันเมื่อไม่เห็นฉัน ก็จักถึงความร่ำไรโศกเศร้า เทวดา ท่านจงพาฉันกลับไปที่ภพภูมิของฉันเถิด.   

เทพบุตรรับคำแล้วแต่ได้พาพานางไปยังพระเวฬุวันวิหารพักไว้ท้ายบริษัท ซึ่งขณะนั้นเป็นเวลาที่พระผู้มีพระภาคเจ้า กำลังทรงแสดงธรรมอยู่ ได้ยืนอยู่แต่ไม่ปรากฏตัว

ลำดับนั้น มหาชนเห็นนางสุลสาแล้ว กล่าวว่า แม่สุลสา เธอไปไหนมาตลอด ๗ วันนี้ มารดาของเธอ เมื่อไม่เห็นเธอ ก็ร่ำไรโศกเศร้าเหมือนคนบ้า 

นางจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้มหาชนทราบ

มหาชนได้ฟังดังนั้นยังไม่เข้าใจนัก ถามว่า อะไรกัน บุรุษนั้นกระทำความขวนขวายแต่บาปเท่านั้น ไม่ได้ทำกุศลไว้เลย ยังเกิดเป็นเทพได้อีกหรือ

นางสุลสากล่าวว่า เขาได้ถวายขนมต้มและน้ำดื่มที่เราให้ แก่ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ด้วยบุญนั้น จึงได้เกิดเป็นเทพบุตร 

มหาชนได้ฟังดังนั้น จึงได้เกิดอัศจรรย์ใจไม่เคยมีมา จึงคิดว่า เขาได้กระทำบุญกรรมแม้เพียงเล็กน้อย ในพระอรหันต์ทั้งหลาย ผู้ชื่อว่า เป็นบุญเขตอันยอดเยี่ยมของชาวโลก จึงนำสัตว์ให้มาเกิดเป็นเทพบุตร คิดแล้วก็บังเกิดปีติและโสมนัสเป็นอันมาก 

ภิกษุทั้งหลาย กราบทูลเนื้อความนั้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าปรารภเหตุในเรื่องนั้น จึงได้ตรัสเป็นคาถาประพันธ์ว่า

พระอรหันต์ทั้งหลาย เปรียบด้วยนา ทายกทายิกาทั้งหลาย เปรียบด้วยชาวนา ไทยธรรมเปรียบด้วยพืช ผลทานย่อมเกิดจากการบริจาคไทยธรรมของทายกทายิกาผู้ให้แก่ปฏิคาหกผู้รับนั้น พืชนาและการหว่านพืชนี้ย่อมให้เกิดผลแก่พวกเปรต และทายกทายิกาผู้ให้ เปรตทั้งหลาย ย่อมพากันบริโภคผลนั้น ทายกทายิกาย่อมเจริญด้วยบุญ ทายกทายิกาทำกุศลในโลกนี้แล้ว อุทิศให้เปรตทั้งหลาย ครั้นทำกรรมดีแล้ว ย่อมไปสวรรค์.

ในเวลาจบเทศนา สัตว์ ๘๔,๐๐๐ ตั้งแต่เทพบุตรและนางสุลสา ได้ตรัสรู้ธรรมแล้วแล.

Cr.ขุนพลไร้เงา

ขอบคุณข้อมูลจาก lifE &soul

แชร์