ปัญหา....ของการใช้กฎหมายระบบกล่าวหา

ปัญหาของการใช้กฎหมายระบบกล่าวหาคือ กล่าวหาไปก่อน ถูกผิดให้จำเลยไปพิสูจน์ตัวเองบนศาล สมเด็จฯ วัดปากน้ำก็เลยตกเป็นเหยื่อของระบบกล่าวหาโดยอัตโนมัติ ทั้งที่สมเด็จท่านไม่ได้มีส่วนรู้เห็นอันใดมาตั้งแต่แรกแล้ว http://winne.ws/n12279

1.0 พัน ผู้เข้าชม
ปัญหา....ของการใช้กฎหมายระบบกล่าวหา

ปัญหาของการใช้กฎหมายระบบกล่าวหาคือ 
กล่าวหาไปก่อน ถูกผิดให้จำเลยไปพิสูจน์ตัวเองบนศาล 
สมเด็จฯ วัดปากน้ำก็เลยตกเป็นเหยื่อของระบบกล่าวหาโดยอัตโนมัติ 
ทั้งที่สมเด็จท่านไม่ได้มีส่วนรู้เห็นอันใดมาตั้งแต่แรกแล้ว

ยิ่งถ้าย้อนเวลากลับไปช่วงนั้น ก็จะพบว่า 
ผู้กล่าวหาขยันออกข่าวทุกวัน ทำลายชื่อเสียง
ของสมเด็จฯ ท่านจนป่นปี้
ราวกับว่าตลอดชีวิตที่ออกบวช
ตั้งแต่ยังเป็นสามเณรจนเป็นสมเด็จฯ 
ไม่มีคุณงามความดีใดๆ เลยต่อประเทศชาติพระศาสนา

สังคมก็ประณามหยามหมิ่นพระมหาเถระ
ผู้มีพรรษากาลสูงสุดในสังฆมณฑล
ไปตามน้ำตามข่าวที่เจ้าหน้าที่รัฐชี้นำ 
สื่อมวลชี้นำ นักการเมืองชี้นำ โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่า 
ปัญหาของกฎหมายระบบกล่าวหามันคืออะไร

ผลสุดท้าย ผ่านไป 1 ปี สมเด็จฯ ท่านบริสุทธิ์ 
เพราะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่แรก แต่ชื่อเสียงของท่าน
ก็ถูกสังคมด่าว่าให้มัวหมองไปแล้ว 
ก็ไม่เห็นกรมสอบสวนคดีพิเศษจะออกมา
แสดงความรับผิดชอบแม้แต่นิดเดียว 
แม้กระทั่งคำขอโทษสักคำก็ไม่เคยมี

เพราะหน่วยงานรัฐมีกฎหมายคุ้มครอง
สามารถอ้างมาตรา 14 ประกอบ 
มาตรา 3 พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ 2547
ว่าทำตามหน้าที่ตามกฎหมาย
นั่นคือกล่าวหาเสร็จก็โยนคดีให้อัยการ
โยนให้ศาลไปแก้ แล้วก็ได้ผลงานไปแบบชิวๆ

ท่านทั้งหลายโปรด อย่าลืมว่า 
การที่ท่านตกเป็นเครื่องมือกล่าวร้ายพระมหาเถระ 
ตามที่สื่อชี้นำ นักการเมืองชี้นำนั้น 
กรรมหนักมันเป็นของท่าน เพราะปากเป็นของท่าน
คนอื่นเขาแค่ชี้นำ แต่ท่านเป็นคนด่าเองกับปาก 
ท่านจึงต้องรับกรรมไปเองคนเดียว

สิ่งสำคัญที่ท่านต้องไม่ลืมก็คือ 
บุคคลที่ท่านด่าว่ามาเป็นปีๆ นั้น
ท่านคือพระมหาเถระผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช
บวชมาแล้ว 71 ปี และก่อนบวชพระท่านเคยบวชเณรมา 6 ปี 
รวมแล้วในขณะนี้ ท่านอยู่ในเพศสมณะมาแล้ว 77 ปี

ท่านลองคิดดูเองแล้วกันว่า 
บาปกรรมที่ท่านทำลายชื่อเสียงของผู้ทรงศีล
ที่อยู่ในสมณเพศมา 77 ปี มันน่ากลัวขนาดไหน 
มันรุนแรงถึงขั้นทำให้ชีวิตท่านล่มจมแบบไม่ได้ผุดได้เกิดเลยทีเดียว

เพราะเป็นกรรมที่เกิดจากที่พวกท่าน
ได้ตกเป็นเครื่องมือฆ่าตัดตอนการเสนอชื่อ
ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชไปเรียบร้อยแล้ว

ปัญหา....ของการใช้กฎหมายระบบกล่าวหา

ดังนั้น ทางที่ดีก่อนที่ทุกอย่างจะสายไปกว่านี้ 
รีบไปกราบขอขมาสมเด็จท่านฯ ถึงวัดปากน้ำ
จะได้ผ่อนวิบากกรรมจากหนักเป็นเบา 
เพราะตั้งแต่มีเรื่องราวกล่าวหากันมาเป็นแรมเดือนแรมปี
ท่านไม่เคยกล่าวร้ายกับคนที่ด่าว่าท่านเลยแม้แต่คำเดียว

เมื่อท่านทั้งหลายไปกราบขอขมาสมเด็จฯ ท่านแล้ว
ต่อแต่นี้ไปให้นำธรรมะมาฝึกใจให้มีความหนักแน่น
อย่าเชื่อข่าวลือโดยง่าย

โดยเฉพาะเรื่องต่อไปที่เขาอยากจะ
หลอกใช้พวกท่านเป็นเครื่องมือยุแหย่ก็คือ

การสร้างกระแสโจมตีรัฐบาลว่า
สาเหตุที่นายกรัฐมนตรีเสนอชื่อสมเด็จฯ วัดปากน้ำ เชื่องช้า 
ก็เพราะว่าเป็นอุปัชฌาย์ของหลวงพ่อวัดพระธรรมกาย
ทั้งที่ความจริงเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ เพราะการเสนอชื่อนั้น
เป็นมติของมหาเถรสมาคม แต่สาเหตุใหญ่ที่ท่านนายกฯ 
ไม่กล้าเสนอชื่อไปในขณะนั้น เป็นเพราะกรมสอบสวนคดีพิเศษ
ไปกล่าวหาสมเด็จฯ วัดปากน้ำว่าครอบครองรถหรู 
(ทั้งที่เป็นแค่ซากรถโบราณ)โดยไม่มีมูลความผิดใดๆ เลยนั่นเอง

ดังนั้น ถ้าหากในอนาคต มีใครมาหลอกใช้ท่าน
เป็นเครื่องมือสร้างความแตกแยกอีก ก็ขอให้รู้ไว้ว่า
กรมสอบสวนคดีพิเศษนั่นแหละ จะต้องรับผิดชอบเรื่องนี้
เพราะมาตรา 14 ประกอบ มาตรา 3 
พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ 2547 กำหนดไว้เช่นนั้น


Cr.Ptreetep Chinungkuro



อ่านเพิ่มเติมhttps://www.khaosod.co.th/hot-topics/news_182035

แชร์