11ขั้นตอนการเปิดธุรกิจร้านอาหารในอเมริกา

ชาวอเมริกันมองว่าอาหารไทยเป็นแบรนด์อาหารรสชาติดีมีระดับ ไม่ใช่อาหารฟาสฟู้ดหรืออาหารจานด่วนราคาถูก http://winne.ws/n12748

953 ผู้เข้าชม
11ขั้นตอนการเปิดธุรกิจร้านอาหารในอเมริกาhttp://www.livestrong.com/article/276803-healthy-thai-food-choices-at-restaurants/

พูดถึงอาหารไทยในต่างแดนต้องบอกว่าเป็นที่นิยมไม่แพ้อาหารชาติอื่น แม้กระทั่งในประเทศตะวันตกรวมถึงในอเมริกา ชาวอเมริกันมองว่าอาหารไทยเป็นแบรนด์อาหารรสชาติดีมีระดับไม่ใช่อาหารฟาสฟู้ดหรืออาหารจานด่วนราคาถูก ร้านอาหารไทยจำนวนมากในอเมริกาจึงเติบโตสามารถทำกำไรได้ไม่น้อย จึงไม่น่าแปลกใจที่แค่แคลิฟอร์เนียมลรัฐเดียวจะมีร้านอาหารไทยมากกว่า 1,000 ร้าน แต่ถึงกระนั้นการลงทุนทำร้านอาหารไทยในสหรัฐอเมริกาก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเป็นการลงทุนที่สูงต้องอาศัยประสบการณ์ผนวกกับความรู้ในการทำธุรกิจ ตลอดจนความเข้าใจกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องให้ถ่องแท้

Thai quote มีข้อมูลดี ๆจากศูนย์ข้อมูลเพื่อธุรกิจไทยในสหรัฐอเมริกา (thaibicusa.com) ภายใต้การดำเนินงานของสถานทูต ณ กรุงวอชิงตัน ที่อยากให้คนไทยที่สนใจสานฝันได้บนพื้นฐานความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง จึงได้จัดทำ “คู่มือร้านอาหารไทยในสหรัฐอเมริกา” ลองมาทำความเข้าใจกับ 11 ขั้นตอน ก่อนคิดการใหญ่เริ่มต้นทำธุรกิจร้านอาหารไทยในอเมริกา

1.เลือกมลรัฐและทำเลที่ตั้ง ต้องพิจารณาปัจจัยให้รอบด้านทั้งการขนส่ง การหาวัตถุดิบอาหาร อัตราค่าแรง ความต้องของตลาด กลุ่มลูกค้า และกฎระเบียบแต่ละมลรัฐที่ต่างกันออกไป เจ้าของกิจการต้องจดทะเบียนธุรกิจเพื่อประกอบกิจการในมลรัฐที่ต้องการเปิดร้าน แหล่งข้อมูลเบื้องต้นเพื่อดูข้อมูลเศรษฐกิจรายมลรัฐและฐานข้อมูลธุรกิจคนไทยและนักวิชาชีพไทยในสหรัฐอเมริกา อยู่ที่ thaibicusa.com นั่นเอง

นอกจากนี้สามารถสืบค้นข้อมูลประกอบการเลือกทำเลที่ตั้งเพิ่มเติมอย่างเช่นค่าเช่าสถานที่ทำธุรกิจ ที่จอดรถ ธุรกิจอื่นในบริเวณรอบร้าน แหล่งที่อยู่อาศัย ความปลอดภัยของเขตพื้นที่ที่สนใจ รวมถึงสถิติประชากรเพื่อพิจารณาฐานลูกค้า ได้จากเว็บไซต์ city-data.com ราคาอาคารพาณิชย์หรือราคาสถานที่ทำธุรกิจลองดูได้ที่เว็บไซต์การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ อาทิ zillow.com หรือ realtor.com

2.เลือกรูปแบบและจดทะเบียนกิจการ สามารถเลือกจดทะเบียนกิจการได้หลายรูปแบบ รูปแบบกิจการที่เป็นที่นิยมและเหมาะสมกับธุรกิจร้านอาหารมีสองประเภท ได้แก่ บริษัทจำกัด และ บริษัทร่วมทุน

•บริษัทจำกัด (Limited Liability Company – LLC) สำหรับผู้ลงทุนที่มีเงินลงทุนเพียงพอ มีสัญชาติสหรัฐฯ (US citizen) หรือผู้ที่มีถิ่นที่อยู่ถาวรอย่างถูกกฎหมายในสหรัฐฯ (green card holder) และไม่มีการร่วมลงทุนกับบุคคลจากต่างประเทศ กล่าวคือ คนไทยที่ถือวีซ่าสหรัฐอเมริกาประเภทอื่น ๆ เจ้าของกิจการรูปแบบนี้สามารถเลือกได้ว่าจะเสียภาษีบุคคล (Self Employment Tax) ในอัตราร้อยละ 15 จากกำไรสุทธิ หรือเสียภาษีเงินได้จากบริษัทแบบบริษัทขนาดเล็ก Small Corporation (S-Corp)

•บริษัทร่วมทุน (Corporation) เหมาะสำหรับผู้ประกอบการจากประเทศไทยที่ไม่มีสัญชาติสหรัฐฯ หรือยังไม่มีกรีนการ์ด ร่วมลงทุนกับญาติพี่น้องหรือเพื่อนนักลงทุนสัญชาติสหรัฐฯในสหรัฐฯ หรือคนที่มีกรีนการ์ดการทำกิจการประเภทนี้ต้องเสียภาษีในรูปแบบบริษัท (Corporation Tax) ในอัตราร้อยละ 15-34 ตามกำไรสุทธิของธุรกิจ

3.จดทะเบียนชื่อร้านและขอเลขประจำตัวนายจ้าง การจดทะเบียนชื่อร้านอาหารกับทางมลรัฐจะทำในกรณีที่ชื่อหน้าร้านอาหารไม่ตรงกับชื่อบริษัทที่จดทะเบียน (Doing Business As – DBA) หลังจากนั้น เจ้าของกิจการต้องขอเลขประจำตัวนายจ้าง (Federal Employer Identification Number – FEIN) จาก Internal Revenue Service (IRS) โดยขอได้ทั้งทางออนไลน์หรือทางไปรษณีย์

4.เปิดบัญชีธนาคาร แนะนำให้เปิดบัญชีกิจการกับธนาคารที่เจ้าของกิจการเป็นลูกค้าประจำอยู่แล้วเพื่อความสะดวกรวดเร็วขึ้น ควรสอบถามธนาคารเกี่ยวกับการรับชำระเงินจากลูกค้าด้วยบัตรเครดิตด้วย กรณีเจ้าของกิจการจากประเทศไทยและไม่เคยมีบัญชีที่สหรัฐฯมาก่อน ให้เลือกเปิดบัญชีกับธนาคารที่น่าเชื่อถือ มีชื่อเสียง และมีหลายสาขา สามารถทำธุรกรรมออนไลน์ได้ การเปิดบัญชีใช้เอกสารในขั้นตอนที่ 2 และ 3 และต้องดำเนินการด้วยตนเองเท่านั้น

5.เช่าร้าน ปรับปรุงร้าน การเช่าร้านเป็นทางเลือกหากไม่ต้องการลงทุนซื้อร้าน ซึ่งต้องพิจารณาอัตราค่าเช่า ระยะสัญญา รายจ่ายที่ต้องรับผิดชอบให้ถี่ถ้วนอย่างเช่นภาษีโรงเรือนและที่ดิน (Property Tax) ของเมืองที่ร้านตั้งอยู่ให้ถ้วนถี่ ผู้เช่าสามารถต่อรองราคาได้อย่างเช่น ไม่เสียค่าใช้จ่าย 3 เดือน เพราะต้องใช้เวลาช่วงนั้นปรับปรุงร้าน หรือให้ผู้ให้เช่าช่วยออกค่าปรับปรุงร้านบางส่วน ส่วนกรณีปรับปรุงร้านอย่าลืมควรตรวจสอบกฎระเบียบการประกอบกิจการ และการขออนุญาตปรับปรุงอาคารของเมืองหรือเขตให้รอบคอบ อาทิ ระบบท่อน้ำทิ้ง ระบบไฟฟ้า ทางเข้าออกสำหรับคนพิการ

6.ขอใบอนุญาตที่จำเป็น ไม่ว่าจะเป็นใบอนุญาตประกอบธุรกิจ (Business License) ใบรับรองการค้าและการจ่ายภาษี (Sales and Use Tax Certificate) หมายเลขประจำตัวผู้จ้างงานในระดับมลรัฐ (State Employer Identification Number) ใบรับรองความปลอดภัยทางอาหาร (Food safety Certification) ใบอนุญาตกระทรวงสาธารณสุข (Permit from Health Department) ใบอนุญาตด้านความปลอดภัยอาคาร (Certificate of Fire Department clearance) ใบอนุญาตการขายเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ (Alcohol license)

ทั้งหมดนี้สามารถยื่นขอไปพร้อมกันได้ ในกรณีที่ซื้อร้านต่อจากเจ้าของเดิม ผู้ประกอบการควรรับโอนใบอนุญาตทั้งหมดข้างต้นจากเจ้าของเดิม รวมถึงทำเรื่องโอนการจดทะเบียน ค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าโทรศัพท์

7.ทำประกัน กฎหมายของสหรัฐฯเข้มงวดมาก ผู้ประกอบการต้องทำประกันทั้งประกันอุบัติภัยของร้านอาหารรวมถึงประกันอุบัติเหตุสำหรับลูกค้า หากลูกค้าประสบอุบัติเหตุภายในร้านอาหารหรือเกิดอาการเจ็บป่วยจากอาหารที่รับประทาน ลูกค้ามีสิทธิ์ที่จะฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากผู้ประกอบการ

8.จดทะเบียนเครื่องหมายการค้า จัดหาอุปกรณ์ภายในครัวและรายการอาหาร เครื่องหมายการค้าหรือตราสัญลักษณ์ของร้านควรมีเอกลักษณ์และจดจำได้ง่าย ผู้ประกอบการควรยื่นขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้ากับสำนักงานเครื่องหมายการค้าและสิทธิบัตรสหรัฐฯ (United States Trademark and Patent Office) เพื่อให้ได้รับความคุ้มครองครอบคลุม 50 มลรัฐ รวมถึงในเขตอเมริกันซามัว เกาะกวม เขตคลองปานามา เกาะเวอร์จิน เกาะนอร์ทเทอร์นมาเรียนา และเปอร์โตริโก

จัดหาอุปกรณ์ภายในครัวและร้านให้ครบถ้วน ลองหาข้อมูลเพิ่มได้ที่ FoodServiceResource.com รายการอาหาร (Menu) ในร้าน ควรจัดพิมพ์ให้สวยงาม การใส่รูปภาพของอาหารและบรรยายลักษณะอาหารจะทำให้ลูกค้าต่างชาติเข้าใจรายการอาหารได้ดีขึ้น

9.ทำบัญชี การทำบัญชีสำหรับร้านอาหารมีรายละเอียดค่อนข้างมากจึงควรทำให้เป็นระบบ ลองใช้โปรแกรมตัวช่วยทำบัญชีรายรับรายจ่าย อาทิ QuickBooks หรือ Peachtree หรือ Quicken หรืออาจจ้างนักบัญชีที่มีใบอนุญาต (Certified Public Accountant: CPA หรือ Enrolled Agent: EA) มาช่วย เพราะหากร้านอาหารไม่ได้ทำบัญชีรายรับรายจ่ายแล้วโดนสรรพากรสหรัฐฯ สุ่มตรวจ อาจถูกเปรียบเทียบปรับเพื่อเก็บภาษีย้อนหลังถึง 3 ปี

10.ตรวจสุขอนามัยก่อนเปิดร้าน หลังจากจัดหรือปรับปรุงร้านให้เป็นไปตามกฎระเบียบความปลอดภัยด้านอาคารและด้านสาธารณสุขเรียบร้อยแล้ว ผู้ประกอบการต้องยื่นแบบฟอร์มขอให้เจ้าหน้าที่หน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ (Health Department) ตรวจร้านก่อนเปิดให้บริการ ซึ่งควรทำล่วงหน้าอย่างน้อย 15 วัน ก่อนวันเปิดร้านจริง

11.โฆษณาร้าน ผู้ประกอบการสามารถหาช่องทางประชาสัมพันธ์ร้านที่มีค่าใช้จ่ายต่ำเช่นเริ่มจากเฟสบุคของชุมชนไทยในท้องถิ่น ลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นหรือนิตยสารประชาสัมพันธ์ของแต่ละเมือง รวมทั้งส่งเสริมการขายด้วยการแจกคูปองส่วนลดสำหรับการรับประทานอาหารในเวลาที่กำหนด ซึ่งเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมมากในสหรัฐฯ นอกจากนี้ การเข้าร่วมเทศกาลอาหารไทยหรือร่วมกันจัดเทศกาลอาหารไทยของเมืองหรือของมลรัฐ เพื่อสร้างชื่อร้านให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น ก็เป็นอีกช่องทางที่น่าสนใจ แถมยังเป็นการสร้างกระแสความสนใจในอาหารและวัฒนธรรมไทยโดยรวมด้วย

อย่าลืมหาโอกาสทำความรู้จักกับกลุ่มผู้ประกอบการร้านอาหารด้วยกันเพื่อสร้างเครือข่าย แบ่งปันประสบการณ์ ช่วยเหลือและร่วมมือกันแก้ปัญหาต่าง ๆ ในโอกาสต่อไปด้วย

ขอขอบคุณข้อมูลดี ๆจาก พรธิดา ญาณสมบูรณ์

เจ้าหน้าที่ศูนย์ข้อมูลเพื่อธุรกิจไทยในสหรัฐฯ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก: http://www.thaiquote.org/content/7884

แชร์