12 ข้อคิด จากหนังซูโทเปีย นครสัตว์มหาสนุก @DisneyZootopia
12 ข้อคิด จากหนังซูโทเปีย นครสัตว์มหาสนุก @DisneyZootopia “เราทุกคนสามารถเป็นได้ทุกอย่างในซูโทเปีย” “In Zootopia, anyone can be anything” http://winne.ws/n1189
1.ความกลัวคือศัตรูของความฝัน
แม้ว่า จูดี้ ฮอบส์ จะเป็น กระต่ายตัวเล็ก แต่เธอก็มี ความฝันที่ยิ่งใหญ่
กระต่ายส่วนใหญ่รวมทั้งพ่อแม่ของจูดี้เองนั้นเป็น สัตว์ขี้กลัว ที่มักจะไม่ทำอะไรอย่างอื่นนอกจากปลูกแครอท
และจูดี้ก็เป็น กระต่ายตัวแรก ที่ได้เดินทางออกจาก บันนี่เบอร์โรว์ เพื่อไปทำงานเป็นตำรวจใน ซูโทเปีย
แม้ว่าการเดินทางจะทำให้พ่อแม่เป็นห่วง แต่จูดี้ก็รู้ดีว่า ความฝันของเธอจะเป็นจริงได้ก็ต่อเมื่อ
เธอกล้าที่จะพาตัวเองออกจาก ‘พื้นที่ปลอดภัย’ (comfort zone) เพื่อออกไปพบกับความท้าทายใหม่ๆ ในชีวิต
เพราะสุดท้ายแล้ว ‘ความกลัว’ ก็คือศัตรูที่น่ากลัวที่สุดของ ‘ความฝัน’ เหมือนที่จูดี้บอกกับพ่อแม่ก่อนออกเดินทางว่า
“สิ่งเดียวที่เราควรจะกลัวก็คือ ความกลัว นั่นเอง”
2. คุณค่าของเราไม่ได้อยู่ที่การตัดสินของใคร
หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ถูกพูดถึงใน Zootopia ก็คือเรื่องของ อคติ และ ความคิดแบบเหมารวม (stereotype)
ที่สังคมมักจะใช้ในการ ‘พิพากษา’ คนอื่น
ด้วยความเป็น ‘จิ้งจอก’ นิค ไวลด์ จึงถูกทุกคนมองว่า ‘เจ้าเล่ห์’ อยู่เสมอ
และเมื่อเวลาผ่านไปนานๆ เข้า ‘ชุดความคิด’ ที่ถูกกรอกใส่หัวเข้าไปแบบซ้ำๆ ก็เลยทำให้นิคกลายเป็น จิ้งจอกเจ้าเล่ห์ ไปจริงๆ
จุดเปลี่ยนในชีวิตของนิคก็คือการได้พบกับจูดี้ ซึ่งทำให้เขาได้เห็นว่า บางครั้ง เราก็ไม่จำเป็นต้องเชื่อใน ‘ภาพ’
ที่สังคมมองเราเสมอไป เพราะเราทุกคนสามารถ ‘เลือก’ ที่จะเป็นอะไรก็ได้ ตามที่ใจเราต้องการ
มันไม่มีความจำเป็นที่เราจะต้องแคร์ คำพูด ของคนที่ไม่รู้จักตัวตนของเรา เพราะสุดท้ายแล้ว ‘คุณค่า’ ของเรานั้น
ก็ไม่เคยขึ้นอยู่ที่ ‘การตัดสิน’ ของใคร
3. ผันจะเป็นจริงก็ต่อเมื่อเราลงมือทำ
สิ่งหนึ่งที่การ์ตูนยุคใหม่อย่าง Zootopia บอกกับเราก็คือ การทำความฝันให้เป็นจริงนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจาก ‘การขอพร’
จากนางฟ้าเหมือนในการ์ตูนยุคก่อน แต่เกิดขึ้นจาก ‘การลงมือทำ’ ให้มันเป็นจริงด้วยตัวเราเอง
ตลอดชีวิต จูดี้ ต้องทำงานหนักเพื่อพิสูจน์ตัวเองอยู่เสมอ ตั้งแต่ที่โรงเรียนตำรวจ
ซึ่งเธอเริ่มต้นจากการเป็นคนที่ล้าหลังกว่าเพื่อนๆ แต่เธอก็พัฒนาตัวเองจนแซงกลับมาชนะเพื่อนร่วมรุ่นทุกคนได้
และที่สถานีตำรวจ จูดี้เองก็ต้องเริ่มงานด้วยการเป็นตำรวจจราจร ก่อนที่เธอจะพยายามพิสูจน์ตัวเอง
เพื่อแสดงให้ สารวัตร โบโก้ เจ้านายของเธอเห็นว่า เธอสามารถทำงานที่สำคัญกว่านั้นได้
แม้ว่ามันจะแลกมาด้วยความเสี่ยงที่เธอจะโดนไล่ออกก็ตาม
4. อย่ากลัวที่เราไม่เหมือนใคร
แม้ว่า จูดี้ จะไม่ได้มีร่างกายแข็งแรงใหญ่โตเหมือนตำรวจคนอื่น
แต่เธอก็มีข้อดีหลายๆ อย่างที่เพื่อนร่วมงานของเธอไม่มี
เราจะเห็นได้ว่า ความว่องไว และ ขนาดกะทัดรัด ของจูดี้นั้นมีประโยชน์เป็นอย่างมาก
ในการวิ่งไล่ตามคนร้ายเข้าไปในพื้นที่ขนาดเล็ก ซึ่งตำรวจตัวใหญ่นั้นไม่มีทางทำได้
นอกจากนี้ จูดี้ ยังเป็นคนที่มีไหวพริบในการเจรจากับคนอื่นเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการเกลี้ยกล่อมให้ช้างยอมขายไอศครีมให้กับนิค
การบังคับนิคให้ช่วยเธอสืบคดี และอีกหลายๆ ครั้ง
แม้ว่าเราจะมี ‘จุดด้อย’ บางอย่างที่ทำให้เราไม่เหมือนคนอื่น แต่เราก็ไม่ควรจะกังวลกับมันมากไป
เพราะธรรมชาติมักจะสร้าง ‘จุดเด่น’ บางอย่างขึ้นมาทดแทนกันอยู่เสมอ และหน้าที่ของเราก็คือ
การพยายามหา จุดเด่น ของเราให้เจอ และพัฒนามันให้ดีที่สุด
5. การช่วยเหลือผู้อื่นมักจะนำมาสู่สิ่งดีๆเสมอ
ตั้งแต่เด็ก จูดี้เป็นกระต่ายที่มักจะช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอ แม้ว่ามันจะทำให้เธอตกที่นั่งลำบากก็ตาม
และมันก็คือนิสัยที่ติดตัวเธอมาจนถึงวันที่เธอได้ทำงานเป็นตำรวจ
ครั้งหนึ่ง จูดี้ได้ช่วยหนูสาวตัวหนึ่งจากการโดน โดนัทยักษ์ กลิ้งทับ โดยหารู้ไม่ว่า หนูสาวตัวนั้นคือ ฟรูฟรู
ลูกสาวของ มิสเตอร์บิ๊ก มาเฟียใหญ่ แห่ง ซูโทเปีย
ในเวลาต่อมา เมื่อเธอและนิคถูก มิสเตอร์ บิ๊ก จับตัวไป ฟรู ฟรู ก็คือคนที่ช่วยให้ทั้งคู่รอดชีวิต
นอกจากนี้ เหตุการณ์ในครั้งนั้นยังทำให้พวกเขาได้รับความช่วยเหลือจาก มิสเตอร์ บิ๊ก อีกหลายอย่าง
บางครั้ง ผลของการทำความดีก็มักจะย้อนกลับมาช่วยเราในแบบที่เราเองก็ไม่คาดคิด
และแม้ว่าสุดท้าย มันจะไม่เกิดผลอะไรตามมา แต่การช่วยเหลือผู้อื่นนั้นก็เป็นความสุขในตัวของมันเองอยู่แล้ว
โดยที่เราไม่จำเป็นต้องรอรับผลตอบแทนอะไรจากมัน
6. หัดใช้ชีวิตให้ช้าลงบ้าง
ในมหานครอย่าง ซูโทเปีย ที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบและวุ่นวาย
สลอธ คือ สิ่งมีชีวิตชนิดเดียว ที่ใช้ชีวิตตาม ‘จังหวะของตัวเอง’ อย่างแท้จริง
ผมคิดว่า สลอธ น่าจะเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งที่มีความสุขมากที่สุดใน ซูโทเปีย
ด้วยการใช้ชีวิตแบบ สโลว์ไลฟ์ ของแท้ที่ไม่เคยปล่อยให้ความเคร่งเครียดทำอะไรพวกเขาได้ และยังมีเวลาให้กับอารมณ์ขันอยู่เสมอ
กลับมาที่ชีวิตจริง บางครั้ง ชีวิตยุคไฮสปีดก็นำมาสู่ความเครียดที่เกินจำเป็น
เพราะมันบังคับให้เราเร่งรีบในการทำทุกอย่าง เหมือนชีวิตที่ถูกกดปุ่ม ฟอร์เวิร์ด อยู่ตลอดเวลา
แม้เราจะไม่ต้องแช่มช้าขนาดพี่สลอธ แต่การเรียนรู้ที่จะ ‘ผ่อนคันเร่งชีวิต’ ลงบ้าง
และไม่ปล่อยให้เรื่องราวภายนอกมากดดันเรามากเกินไป ก็อาจจะเป็นอีกวิธีที่ช่วยให้เรามีความสุขมากขึ้น
7. การปกปิดปัญหาไม่เคยช่วยให้อะไรดีขึ้น
นายกเทศมนตรี ไลออนฮาร์ธ นั้นก็ไม่ต่างอะไรกับ นักการเมือง หลายๆ คนในชีวิตจริง
ที่มักจะสนใจผลประโยชน์ของตัวเอง มากกว่าความสุขที่แท้จริงของประชาชน
แม้ว่า ไลออนฮาร์ธ จะไม่ใช่ต้นตอที่แท้จริงของคดีสัตว์หาย แต่เขาก็มีส่วนผิดที่พยายามปิดบังปัญหาเอาไว้ไม่ให้ประชาชนรู้
เพราะกลัวว่าตัวเองจะเสียคะแนนเสียง
ปัญหาต่างๆ นั้นไม่มีทางที่จะหายไปเฉยๆ ได้ด้วยการปิดบังมันเอาไว้ และส่วนใหญ่แล้ว
ยิ่งเราปล่อยมันทิ้งไว้นานเท่าไหร่ ปัญหาก็จะมีแต่ยิ่งลุกลามใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ
สิ่งเดียวที่จะทำให้ปัญหาหมดไปได้ก็คือ การแก้ปัญหา และขั้นตอนแรกสุดของการแก้ปัญหาทุกอย่างบนโลกใบนี้ก็คือ
การยอมรับว่า ปัญหานั้นมีอยู่จริง
8. ใคร ๆ ก็ต้องการการเห็นคุณค่า
แม้ว่า เบลล์เวทเธอร์ จะเป็นถึง รองนายกฯ ของ ซูโทเปีย แต่ ไลออนฮาร์ธ ก็ปฏิบัติกับเธอไม่ต่างอะไรกับเลขาคนหนึ่ง
การถูกมองข้ามอย่างยาวนาน ได้กลายมาเป็น ปมในใจ ที่ทำให้เธอวางแผนร้ายในการก้าวขึ้นสู่อำนาจด้วยตัวเอง
ซึ่งบางที เรื่องเลวร้ายทั้งหมดอาจจะไม่เกิดขึ้นเลย ถ้าเพียงแค่ ไลออนฮาร์ธ ให้ความสำคัญกับเธอมากกว่านี้
เมื่อมองไปรอบๆ ตัว เราจะเห็นผู้คนมากมายที่พยายามทำดีแต่ก็ไม่มีใครมองเห็น และมันก็ไม่ใช่ทุกคน
ที่จะมีจิตใจเข้มแข็งเหมือน จูดี้ ที่สามารถทำดีได้เสมออย่างไม่ย่อท้อ
สิ่งหนึ่งที่เราทำเพื่อช่วยคนเหล่านี้ได้ก็คือ การเรียนรู้ที่จะ ‘เห็นคุณค่า’ ในสิ่งที่เขาทำ
เพื่อที่ว่าเขาจะได้มี กำลังใจ ในการทำสิ่งดีๆ ต่อไป และไม่หันเหไปทำในสิ่งที่ผิด
9. ชีวิตเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ
หลังจากที่เคยพลาดหวังจากการเป็นลูกเสือเพราะถูกแกล้งในวัยเด็ก
นิคก็ฝังใจมาตลอดว่า จิ้งจอกอย่างเขาคงเป็นอะไรอื่นไปไม่ได้นอกจาก มิจฉาชีพ
แม้จะเดินทางผิดมาทั้งชีวิต แต่ด้วยความช่วยเหลือของจูดี้ ในที่สุด
นิคก็เลือกที่จะกลับมาเดินในเส้นทางที่ถูกต้อง อีกครั้ง ด้วยการหันมาทำงานเป็นตำรวจ
นอกจาก นิค แล้ว กีเดียน เกรย์ เพื่อนจิ้งจอกจอมเกเร ที่เคยรังแกจูดี้ในตอนเด็ก
ก็เป็นอีกคนที่กลับตัวกลับใจ และกลายมาเป็น เชฟเบเกอรี่ ฝีมือดีในตอนที่เขาโตขึ้น
สิ่งหนึ่งที่ Zootopia บอกกับเราก็คือ แม้ว่าในอดีต เราอาจจะเคยทำอะไรผิดพลาดในชีวิตไปบ้าง
แต่เมื่อรู้ตัวแล้ว เราก็ต้องเรียนรู้ที่จะให้อภัยตัวเอง และให้โอกาสตัวเองในการเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง
10. มิตรภาพคือการดูแลความรู้สึกกันและกัน
จูดี้นั้นเกือบที่จะเสียเพื่อนดีๆ อย่างนิคไป ในตอนที่เธอเผลอให้สัมภาษณ์กับนักข่าวว่า
ความป่าเถื่อนของสัตว์ที่ออกอาละวาดนั้นอาจจะเป็นผลมาจากสัญชาตญาณที่ฝังอยู่ใน DNA ของสัตว์ผู้ล่า
ซึ่งเป็นคำพูดที่แทงใจดำนิคแบบเต็มๆ
บางครั้ง มิตรภาพ ก็เป็นเรื่องที่เปราะบางกว่าที่เราคิด
และหัวใจสำคัญของการดูแลมิตรภาพให้ยั่งยืนก็คือ การรู้จักใส่ใจในความรู้สึกของเพื่อนอยู่เสมอ
เคล็ดลับอย่างหนึ่งของการเป็นเพื่อนที่ดีก็คือ การเรียนรู้นิสัยใจคอของเพื่อน เพื่อสังเกตว่า
เขาอ่อนไหวกับเรื่องไหนเป็นพิเศษบ้างหรือเปล่า และหัดคิดก่อนพูดทุกครั้ง
เพื่อที่ว่า เราจะได้ไม่เผลอพูดจาทำร้ายจิตใจเขาโดยไม่รู้ตัว
และในทางกลับกัน เมื่อเพื่อนทำผิดกับเรา เราเองก็ต้องเรียนรู้ที่จะให้อภัยในวันที่เขาสำนึกผิด
เช่นเดียวกับที่นิคนั้นให้อภัยจูดี้ ที่รู้สึกผิดกับการกระทำของเธออย่างสุดหัวใจ
11. อย่าให้ความกัวแบ่งแยกเรา
สังคมสัตว์ใน Zootopia นั้นก็ไม่ต่างอะไรกับ สังคมมนุษย์ ในชีวิตจริง
ที่หลายครั้ง ‘ความแตกต่าง’ ก็นำไปสู่ความกลัวและความหวาดระแวงซึ่งกันและกัน
ความไม่ไว้ใจกันของ ‘เหยื่อ’ และ ‘สัตว์ผู้ล่า’ นั้นก็ไม่ต่างอะไรกับ การที่คนขาวมองคนผิวสีว่าเป็นอันตราย
หรือมองคนมุสลิมว่าเป็นผู้ก่อการร้าย และในทางกลับกัน ทั้งคนผิวสีและคนมุสลิมเองก็หวาดกลัวคนขาวแทบไม่ต่างกัน
ความจริงก็คือ ความดีเลวของเรานั้นไม่เคยขึ้นอยู่กับ ชาติกำเนิด เผ่าพันธุ์ สีผิว หรือ ศาสนา แต่ขึ้นอยู่ที่ตัวบุคคลมากกว่า
ใน Zootopia ‘เหยื่อ’ หลายๆ ตัวนั้นก็มีจิตใจที่โหดร้าย ในขณะที่ ‘สัตว์ผู้ล่า’ หลายๆ ตัวนั้น
ก็กลับมีจิตใจที่ดีงาม เช่นเดียวกับชีวิตจริงซึ่งเรามีทั้ง คนขาวที่ดีและเลว
คนผิวสีที่ดีและเลว และ มุสลิมที่ดีและเลว ในระดับที่ไม่ต่างกัน
ถ้าจะมีอะไรที่ช่วยให้สังคมน่าอยู่มากขึ้น มันก็คือ การเรียนรู้ที่จะยอมรับความแตกต่างของสมาชิกอื่นๆ ในสังคม
และให้คุณค่ากับเขาจาก ‘สิ่งที่อยู่ภายใน’ มากกว่าที่จะตัดสินเขาจาก ‘เปลือก’ ภายนอกที่เราเห็น
12. โลกสวยเริ่มต้นที่ตัวเราเอง
สุดท้ายแล้ว ผมคิดว่า Zootopia นั้นก็คือ ภาพจำลอง ของ โลกมนุษย์
ซึ่งแน่นอนว่า มันไม่ใช่ ดินแดนในอุดมคติ ที่สมบูรณ์แบบไปทุกอย่าง
ในช่วงหลังๆ คำว่า ‘โลกสวย’ นั้นกลายเป็นคำประชด เพราะมองไปทางไหนเราก็เห็นแต่เรื่องเลวร้าย
ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาสิ่งแวดล้อม ความอดอยาก สงคราม อาชญากรรม ฯลฯ
แต่ถึงยังไง เราก็ยังไม่ควรจะหมดหวัง เพราะไม่ว่าโลกจะเลวร้ายสักแค่ไหน
แต่เราก็มีโลกอยู่แค่ใบเดียว และเราก็ต้องพยายามดูแลรักษามันไปให้ดีที่สุด
แม้จะไม่มีใครที่ลุกขึ้นมาเปลี่ยนโลกได้ด้วยตัวคนเดียว แต่โลกนี้ย่อมเป็นสถานที่ที่น่าอยู่ขึ้นได้
ถ้าเราแต่ละคนนั้นช่วยกันคนละไม้คนละมือ เพื่อทำให้มันดีขึ้นตามความสามารถที่เรามี
ความพยายามเล็กๆ ของคนหลายๆ คน เมื่อรวมกันแล้ว มันก็คือ พลังอันยิ่งใหญ่
ที่อาจจะเปลี่ยนโลกได้จริงๆ และความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนั้นก็เริ่มต้นที่ตัวของเราเอง
ขอบคุณแหล่งข้อมูล : pantip.com