ตำนานปลาอานนท์จากชาดก!! 1 ใน 7 ปลาในป่าหิมพานต์
ปลาอานนท์ยังมีเรื่องราวเกี่ยวข้องกับตำนานไฟล้างโลกด้วย คือ ..... เมื่อคนทั้งหลายทำบาป ไม่รู้จักบุญไม่รู้จักกรรมอันใดทั้งสิ้น ดังในคำกาพย์เรื่อง พระไชยสุริยา ของสุนทรภู่บรรยายไว้ว่า..... http://winne.ws/n12620
อันโบราณกาลละครั้งนั้น เล่าขานกันว่า "ปลาอานน" หรือ "ปลาอานนท์" นี่เป็นปลาที่เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยสร้างโลกใหม่ๆ เป็นปลาที่มีภาระหนักมาก เพราะจะต้อง "แบกน้ำหนักของโลกไว้"
ปลาอานน มีร่างกายใหญ่โตโอฬารมากมายเหลือคณา เล่ากันว่าหากวัดความยาวของปลาอานนท์ นี้นับได้เป็นพันๆ โยชน์เชียวหล่ะท่าน
ปลาอานน นิ่งสงบ และแบกโลกไว้ แต่อยู่มาก็อาจจะเกิดความเมื่อยขบ ก็เลยพลิกตัวบ้าง เพื่อเป็นการเปลี่ยนอิริยาบท ที่ได้แบกโลกไว้ ก็เลยทำให้เกิดแผ่นดินไหว ภัยพิบัติเหนือผิวโลก ลมฟ้าแปรปรวน .....
นี่แหล่ะคือสาเหตุที่ทำให้เกิดแผ่นดินไหว เขาว่ามาอย่างนั้น !!!
ปลาหิมพานต์ มีปลาใหญ่ 7 ตัว ชื่อตามลำดับไหล่ ติรณะ ติมิงคละ ตรปิงคละ อานนท์ นิรยะ อัชฌนาโรหะ และ มหาติมิ ปลาอานนท์ ชื่อลำดับที่ 4 ตัวใหญ่ๆ หนุนชมพูทวีป เวลาแผ่นดินไหว ผู้ใหญ่เคยเล่าว่าปลาอานนท์กระดิกตัว7 ปลาผู้ยิ่งใหญ่ ตัวเล็กที่สุด ยาว 75 โยชน์ ตัวใหญ่ ยาวถึง 5 พันโยชน์ เวลากระดิกหาง ทะเลก็จะปั่นป่วนตีฟอง ดังหม้อแกงเดือดไกลไปตั้ง 800 โยชน์ ที่น่าแปลกใจ จินตนาการโบราณ มีปลาใหญ่หนุนโลกอยู่ 7 ตัว วันนี้ วิชาธรณีวิทยาก้าวหน้า พบว่า แผ่นดินที่เราอยู่บนเปลือกโลกต่อกันเป็นทอดๆ 8 แผ่น ลอยอยู่บนก๊าซที่เป็นของเหลว ใกล้เคียงปลาอานนท์หนุนโลกเต็มที
ความอัศจรรย์ไม่เคยมีในมหาสมุทร ๘ ประการ
[๔๔๙] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความอัศจรรย์ ไม่เคยมี ในมหาสมุทร ๘ อย่างนี้ ที่พวกอสูรพบเห็นแล้ว พากันชื่นชมอยู่ในมหาสมุทร ๘ อย่างเป็นไฉน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย มหาสมุทรลุ่มลึกลาดลงไปโดยลำดับ มิใช่ลึกมาแต่เดิมเลย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่มหาสมุทรลุ่มลึกลาดลงไปโดยลำดับมิใช่ลึกมาแต่เดิมเลย นี้เป็นความอัศจรรย์ ไม่เคยมี ในมหาสมุทรเป็นข้อที่ ๑ ที่พวกอสูรพบเห็นแล้ว พากันชื่นชมในมหาสมุทร ฯ
[๔๕๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง มหาสมุทรตั้งอยู่ตามธรรมดาไม่ล้นฝั่ง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่มหาสมุทรตั้งอยู่ตามธรรมดาไม่ล้นฝั่ง แม้นี้เป็นเป็นความอัศจรรย์ ไม่เคยมี ในมหาสมุทรเป็นข้อที่ ๒ ที่พวกอสูรพบเห็นแล้วพากันชื่นชมในมหาสมุทร ฯ
[๔๕๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง มหาสมุทรไม่ร่วมกับซากศพที่ตายแล้วซากศพที่ตายแล้วใดมีอยู่ในมหาสมุทร มหาสมุทรย่อมนำซากศพที่ตายแล้วนั้นไปสู่ฝั่ง ซัดขึ้นบกโดยพลัน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่มหาสมุทรไม่ร่วมกับซากศพที่ตายแล้ว ซากศพที่ตายแล้วใดมีอยู่ในมหาสมุทร มหาสมุทรย่อมนำซากศพที่ตายแล้วนั้นไปสู่ฝั่งซัดขึ้นบกโดยพลัน แม้นี้ก็เป็นความอัศจรรย์ ไม่เคยมี ในมหาสมุทร เป็นข้อที่ ๓ ที่พวกอสูรพบเห็นแล้ว พากันชื่นชมในมหาสมุทร ฯ
[๔๕๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง แม่น้ำใหญ่บางสาย คือ แม่น้ำคงคายมุนา อจิรวดี สรภู มหี ไหลถึงมหาสมุทรแล้วย่อมละนามและโคตรเดิมเสียถึงซึ่งอันนับว่ามหาสมุทรทีเดียว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่แม่น้ำใหญ่บางสาย คือ แม่น้ำคงคา ยมุนาอจิรวดี สรภู มหี ไหลถึงมหาสมุทรแล้ว ย่อมละนามและโคตรเดิมเสีย ถึงซึ่งอันนับว่ามหาสมุทรทีเดียว แม้นี้ก็เป็นความอัศจรรย์ ไม่เคยมีในมหาสมุทรข้อที่ ๔ ที่พวกอสูรพบเห็นแล้วพากันชื่นชมในมหาสมุทร ฯ
[๔๕๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง แม่น้ำบางสายในโลกที่ไหลไป ย่อมไปรวมยังมหาสมุทร และสายฝนยังตกลงมาจากอากาศ ความพร่องหรือความเต็มของมหาสมุทรย่อมไม่ปรากฏ เพราะเหตุนั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่แม่น้ำบางสายในโลกที่ไหลไป ย่อมไปรวมยังมหาสมุทร และสายฝนยังตกลงมาจากอากาศ ความพร่องหรือความเต็มของมหาสมุทร ไม่ปรากฏ เพราะเหตุนั้น แม้นี้ก็เป็นความอัศจรรย์ ไม่เคยมี ในมหาสมุทรเป็นข้อที่ ๕ ที่พวกอสูรพบเห็นแล้ว พากันชื่นชมในมหาสมุทร ฯ
[๔๕๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง มหาสมุทรมีรสเค็มรสเดียว ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่มหาสมุทรมีรสเค็มรสเดียว แม้นี้ก็เป็นความอัศจรรย์ ไม่เคยมีในมหาสมุทรเป็นข้อที่ ๖ ที่พวกอสูรพบเห็นแล้ว พากันชื่นชมในมหาสมุทร ฯ
[๔๕๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง มหาสมุทรมีรัตนะมาก มีรัตนะมิใช่ชนิดเดียว รัตนะในมหาสมุทรนั้นเหล่านี้ คือ แก้วมุกดา แก้วมณี แก้วไพฑูรย์สังข์ ศิลา แก้วประพาฬ เงิน ทอง ทับทิม มรกต
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่มหาสมุทรมีรัตนะมาก มีรัตนะมิใช่ชนิดเดียวรัตนะในมหาสมุทรนั้นเหล่านี้ คือ แก้วมุกดา แก้วมณี แก้วไพฑูรย์ สังข์ ศิลาประพาฬ เงิน ทอง ทับทิม มรกต แม้นี้ก็เป็นความอัศจรรย์ ไม่เคยมีในมหาสมุทร เป็นข้อที่ ๗ ที่พวกอสูรพบเข้าแล้ว พากันชื่นชมในมหาสมุทร ฯ
[๔๕๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง มหาสมุทรเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ใหญ่ๆ สัตว์ใหญ่ๆ ในมหาสมุทรนั้นเหล่านี้ คือ ปลาติมิ ปลาติมิงคละ ปลาติมิติมิงคละ ปลามหาติมิงคละ อสูร นาค คนธรรพ์ อยู่ในมหาสมุทร มีลำตัวตั้งร้อยโยชน์ก็มี สองร้อยโยชน์ก็มี สามร้อยโยชน์ก็มี สี่ร้อยโยชน์ก็มีห้าร้อยโยชน์ก็มี
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่มหาสมุทรเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ใหญ่ๆ สัตว์ใหญ่ๆ ในมหาสมุทรนั้นเหล่านี้ คือ ปลาติมิ ปลาติมิงคละ ปลาติมิติมิงคละปลามหาติมิงคละ อสูร นาค คนธรรพ์ อยู่ในมหาสมุทร มีลำตัวตั้งร้อยโยชน์ก็มี... ห้าร้อยโยชน์ก็มี แม้นี้ก็เป็นความอัศจรรย์ ไม่เคยมีในมหาสมุทร เป็นข้อที่๘ ที่พวกอสูรพบเห็นแล้ว พากันชื่นชมในมหาสมุทร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความอัศจรรย์ไม่เคยมีในมหาสมุทร ๘ อย่างนี้แล ที่พวกอสูรพบเห็นแล้ว พากันชื่นชมอยู่ในมหาสมุทร ฯ
มหานทีสีทันดร
มหานที แปลว่า ห้วงน้ำใหญ่มาก สีทะ แปลว่า ทำให้ทุกๆ สิ่งจมลง อันตระ แปลว่า ระหว่าง รวมความว่ามหานทีสีทันดร แปลว่า มหาสมุทรใหญ่ที่มีน้ำละเอียดไม่มีสิ่งใดลอยอยู่ได้ ล้อมรอบภูเขาสิเนรุไปจรดภูเขาจักรวาล น้ำในมหานทีสีทันดรที่ว่าไม่มีสิ่งใดลอยอยู่ได้นั้นเพราะเป็นน้ำทิพย์ละเอียด แม้แต่แววหางนกยูงที่แสนจะเบาบางเมื่อตกลงไปยังไม่อาจจะลอยอยู่ได้ น้ำในนทีสีทันดรนั้นลึกมาก บริเวณรอบเขาสิเนรุจะลึกที่สุด และลึกน้อยลงเมื่ออยู่ไกลออกไป โบราณว่าแผ่นดินไหวเพราะปลาอานนท์พลิกตัว ปลาอานนท์หรือปลาอานันทะที่ว่านี้เป็นปลาใหญ่อยู่ในมหานทีสีทันดร ซึ่งนอกจากจะมีปลาอานนท์แล้วก็ยังมีปลาใหญ่อื่นๆ อีกรวม ๘ ชนิด คือ
1. ปลาติมิ ใหญ่ ๒๐๐ โยชน์
2. ปลาติมิงคละ ใหญ่ ๓๐๐ โยชน์
3. ปลาติมิติมิงคละ ใหญ่ ๔๐๐ โยชน์
4. ปลาติมิรมิงคละ ใหญ่ ๕๐๐ โยชน์
5. ปลาอานันทะ ใหญ่ ๑,๐๐๐ โยชน์
6. ปลาติมินทะ ใหญ่ ๑,๐๐๐ โยชน์
7. ปลาอัชฌาโรหะ ใหญ่ ๑,๐๐๐ โยชน์
8. ปลามหาติมิ ใหญ่ ๑,๐๐๐ โยชน์
ด้วยความที่เป็นปลาตัวใหญ่มากนี่เอง เมื่อปลาติมิรมิงคละกระดิกหูเพียงข้างเดียวก็ทำให้น้ำกระเพื่อมไกลถึง ๕๐๐ โยชน์ หรือเมื่อกระดิกหัวหรือกระดิกหาง น้ำก็จะกระเพื่อมไปไกล ๕๐๐ โยชน์เหมือนกัน ยิ่งถ้าถึงขั้นกระดิกหูพร้อมกันสองข้าง เอาหางฟาดน้ำ หรือส่ายหัวเล่นน้ำ น้ำก็จะเป็นฟองเดือดพล่านไปไกลถึง ๗๐๐-๘๐๐ โยชน์เลยทีเดียว
ในคัมภีร์พระไตรปิฎกฝ่ายมหายานมีเรื่องราวของมหานทีสีทันดอนละเอียดและแปลกออกไปอีก คือ บอกว่าน้ำในนทีสีทันดรที่อยู่ระหว่างเขาสัตตบริภัณฑ์นั้นเป็นน้ำต่างชนิดกัน ๗ อย่าง คือ ๑ น้ำนม ๒ น้ำนมส้ม ๓ น้ำเนย ๔ น้ำอ้อย ๕ น้ำเหล้า ๖ น้ำจืด ๗ น้ำเค็ม เมื่อนับจากชั้นในไปชั้นนอกโดยลำดับ
มหานทีสันทันดรเป็นที่อยู่ของเทวดาจำพวกนาค เรียกว่า นาคเทวดา รวมทั้งนาคที่ไม่ใช่เทวดาด้วย ในคัมภีร์อรรถกถาพระไตรปิฎกไม่ได้พูดถึงเรื่องนาคกับครุฑรบกันเหมือนคัมภีร์ทางศาสนาพราหมณ์ เพียงแต่พูดถึงนิดหน่อยว่าครุฑสามารถจับนาคได้ถ้าเป็นนาคต่ำศักดิ์ โดยเฉพาะนาคบนระลอกคลื่นอาจถูกพวกครุฑจับตัวได้ง่ายๆ
ในสมัยโบราณมีความเชื่อกันว่า ใต้โลกที่คนเราอาศัยอยู่นี้ มีปลาตัวใหญ่ตัวหนึ่งหมุนอยู่ เรียกว่า ปลาอานนท์ และยังเชื่อกันว่า เวลาที่ปลาตัวนี้พลิกตัว จะทำให้แผ่นดินไหว แต่บางตำนานกล่าวว่า.....ปลาอานนท์เป็นหนึ่งในพญาปลาทั้ง 7 ที่อาศัยอยู่ในทะเลสีทันดร ซึ่งมีชื่อดังนี้
1. ติมิ
2. ติมิงคละ
3. ติมิงปิงคละ
4. อานนท์
5. ติมินท์
6. อัชฌโรหะ
7. มหาติมิ ปลาทั้ง 7 นี้แต่ละตัวยาว 4,000,000 วา
จากวรรณกรรมนิราศนรินทร์คำโคลง ยังมีบทประพันธ์ที่กล่าวถึงชื่อปลาหนึ่งในเจ็ดตัวนี้ ดังนี้
- นทีสี่สมุทรม้วย หมดสาย.....
- ติมิงคล์มังกรนาคผาย ผาดส้อน.....
ปลาอานนท์ยังมีเรื่องราวเกี่ยวข้องกับตำนานไฟล้างโลกด้วย คือ ..... เมื่อคนทั้งหลายทำบาป ไม่รู้จักบุญไม่รู้จักกรรมอันใดทั้งสิ้น ดังในคำกาพย์เรื่อง พระไชยสุริยา ของสุนทรภู่บรรยายไว้ว่า.....
- ที่ซื่อถือพระเจ้า ว่าโง่เง่าเต่าปูปลา.....
- ผู้เฒ่าเหล่าเมธา ว่าใบ้บ้าสาระอำ......
- ภิกาสมณะ เล่าก็ละพระธรรม........
คาถาว่าลำนำ ไปเร่ร่ำทำเฉโก
- ลูกศิษย์คิดล้างครู ลูกไม่รู่คุณพ่อมัน.......
- ส่อเสียดเบียดเบียนกัน ลอบฆ่าฟันคือตัณหา
เมื่อคนบาปทำบาปมากเข้า ผลของบาปก็ทำให้เกิดความแห้งแล้งไปทั่ว ฝนไม่ยอมตก แสงแดดแผดจ้า จนแหล่งน้ำทั้งหลายเหือดแห้งสัตว์น้ำต่างๆ พากันตายเกลือน ต่อจากนั้นก็จะเกิดตะวันขึ้น 2 ดวง .....ดวงหนึ่งตก อีกดวงหนึ่งก็จะขึ้นมาแทน ทำให้ไม่มีกลางคืน ความร้อนจะทำให้แห้งแล้งยิ่งขึ้น ผู้คนจะล้มตาย และคนดีจะไปสู่สวรรค์ คนเลวก็ตกนรกไป
จากนั้นก็จะมีตะวันขึ้นเป็น 3 ดวง, 4 ดวง และถึง 5 ดวง ......ทำให้แม่น้ำใหญ่ทั้ง 5 สระใหญ่...ทั้ง 7 ป่าหิมพานต์แห้งเหือดไป...ฝูงสัตว์น้ำตายสิ้น...น้ำในมหาสมุทรขอดเหลือเพียงข้อมือเดียว แล้ในไม่ช้าตะวันจะขึ้นเป็น 6 ดวง น้ำในมหาสมุทรแห้งสิ้น...ทั่วทั้งจักรวาลร้อนระอุเหมือนอยู่ในเตาเผา ในที่สุด ตะวันขึ้นเป็น 7 ดวง พญาปลาง 7 ซึ่งอยู่ในทะเลสีทันดรทั้ง 7 ชั้นก็จะละลายไหลเป็นน้ำมันติดไฟลุกไหม้ขึ้น ดังประกาศแช่งน้ำ กล่าวถึงวันสิ้นโลกว่า.....
- นานาอเนกน้าวเดิมกัลป์ จักร่ำจักราพาฬเมื่อไหม้
- กล่าวถึงตะวันเจ็ดอันพลุ่ง น้ำแล้งไข้ขอดตาย
- เจ็ดปลามันพุ่งหล้าเป็นไฟ วาบจตุราบายแผ่นขว้ำ
- ชักไตรตรึงษ์เป็นเผ้า แลบ่ล้ำสีละอง...
กล่าวกันว่าเมื่อไฟล้างโลกนั้น ไฟจะไหม้ทั้งกามภูมิ 11 ชั้น คือ จตุราบายภูมิ มนุษยภูมิ ฉกามาพจรภูมิ และ พรหมโลก รวมเป็น 14 ชั้น
...ระยะไฟไหม้นั้นจะกินเวลานานถึงอสงไข ทุกอย่างสิ้นหมดแล้วโลกก็รอเวลาสร้างขึ้นมาใหม่ หมุนเวียนเปลี่ยนไปเป็นนิจนิรันดร์. (อสงไขยเป็นอนันตกาล)
เรื่องของโลก เรื่องของธรรม ที่คล้ายกัน ... โลกนี้มีการเปลี่ยนแปลง มานมนาน
ท่านพระอานนท์รับพระพุทธพจน์แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง (เรื่องโลกธาตุ) ว่า อานนท์ ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์แผ่รัศมี ส่องแสงทำ ให้สว่างไปทั่วทิศตลอดที่มีประมาณเท่าใด โลกมีเนื้อที่เท่านั้นจำนวน ๑,๐๐๐ ใน ๑,๐๐๐ โลกนั้น มีดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ภูเขาสิเนรุ อย่างละ ๑,๐๐๐ มีชมพูทวีป อปรโคยานทวีป อุตตรกุรุทวีป ปุพพวิเทหทวีปอย่างละ ๑,๐๐๐ มีมหาสมุทร มีมหาราช อย่างละ ๔,๐๐๐ มีสวรรค์ ๖ ชั้น และพรหมโลก ชั้นละ ๑,๐๐๐ นี้เรียกว่า สหัสสีจูฬนิกาโลกธาตุ (โลกธาตุอย่างเล็กมีพันจักรวาล)
หมายเหตุ
ป่าหิมพานต์ หรือ หิมวันต์ เป็นป่าในวรรณคดีและความเชื่อในเรื่องไตรภูมิตามคติศาสนาพุทธและฮินดู มีความเชื่อว่า ป่าหิมพานต์ตั้งอยู่บนเชิงเขาพระสุเมรุ ป่าหิมพานต์มีเนื้อที่ประมาณ 3,000 โยชน์ (1 โยชน์ เท่ากับ 10 ไมล์ หรือ 16 กิโลเมตร) วัดโดยรอบได้ 9,000 โยชน์ ประดับด้วยยอด 84,000 ยอด มีสระใหญ่ 7 สระคือ
1. สระอโนดาต
2. สระกัณณมุณฑะ
3. สระรถการะ
4. สระฉัททันตะ
5. สระกุณาละ
6. สระมัณฑากิณี
7. สระสีหัปปาตะ
บรรดาสระใหญ่ทั้ง 7 นั้น สระอโนดาตแวดล้อมไปด้วยภูเขาทั้ง 5 ที่จัดเป็นยอดเขาหิมพานต์ ยอดเขาทุกยอดมีส่วนสูงและสัณฐาน 200 โยชน์ กว้างและยาวได้ 50 โยชน์
ในป่าหิมพานต์นี้เต็มไปด้วยสัตว์นานาชนิด ซึ่งล้วนแปลกประหลาดต่างจากสัตว์ที่มนุษย์ทั่วไปรู้จัก เป็นสัตว์หลายอย่างผสมกันแล้วตั้งชื่อขึ้นใหม่ สัตว์เหล่านี้เกิดจากจินตนาการของจิตรกรไทยโบราณที่ได้สรรค์สร้างภาพจากเอกสารเก่าต่าง ๆ บรรดาสัตว์ทั้งหมดที่อ้างถึงนี้เป็นที่รู้จักในนามของสัตว์หิมพานต์