บุพเพนิวาสานุสติญาณ คือญาณความสามารถในการระลึกชาติหนหลังได้ เป็นอย่างไร??
เรานั้นระลึกถึงขันธ์ห้าที่เคยอยู่อาศัยในภพก่อน ๆ ได้หลาย ประการ พร้อมทั้งอาหาร และลักษณะดังกล่าวนี้เป็นวิชชาที่เราบรรลุในยามแรกแห่งราตรี คือ บุพเพนิวาสานุสติญาณ คือญาฌความสามารถในการระลึกชาติหนหลังได้ http://winne.ws/n14303
เมื่อความสว่างมากขึ้น ๆ ความเห็นหรือญาณทัสสนะก็ชัดขึ้น ๆ ทรงใช้ธรรมกายอรหัตพิจารณาถึงขันธ์ที่เคยอยู่อาศัยในกาลก่อน ในชาติในภพก่อน ๆ ได้ตามลำดับ ตั้งแต่หนึ่งชาติ สองชาติ สามชาติ เรื่อยไปจนถึงร้อยชาติพันชาติ ตลอดหลายสังวัฏกัปและหลายวิวัฏกัปว่า เมื่อเราอยู่ในภพนั้น ๆ มีชื่ออย่างนั้น มีโคตร มีวรรณะ มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขและทุกข์อย่างนั้น ๆ มีอายุสิ้นสุดลงเท่านั้น ๆ ครั้นจุติ (คือตายจากภพนั้นแล้ว) ก็ได้เกิดในภพต่อไป เมื่อเกิดใหม่ มีโคตร มีวรรณะ เสวยสุขทุกข์อย่างไร ตรัสว่า
"เรานั้นระลึกถึงขันธ์ห้าที่เคยอยู่อาศัยในภพก่อน ๆ ได้หลาย ประการ พร้อมทั้งอาหาร และลักษณะดังกล่าวนี้เป็นวิชชาที่เราบรรลุในยามแรกแห่งราตรี คือ บุพเพนิวาสานุสติญาณ คือญาฌความสามารถในการระลึกชาติหนหลังได้"
ถ้าจะเปรียบกับวิทยาศาสตร์ปัจจุบันในเชิงวิชาการ หลวงพ่อขอเปรียบเทียบง่าย ๆ ก็คือ ในทางโลก ภาพต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกนี้ เราสามารถเอากล้องถ่ายภาพยนตร์ กล้องถ่ายวิดีโอถ่ายภาพบันทึกไว้เช่นนี้ ใจของเราก็เหมือนกัน แต่ดีกว่าฟิล์มทั้งหลายในโลก
ใจของเรานั้นเป็นดวงใส ใสกว่าดวงแก้วใส ๆ การกระทำทั้งหมดตลอดชีวิตของเราถูกบันทึกไว้ในใจตลอดทั้งชาติ ฟิล์มภาพยนตร์หรือเทปวีดีโอก็ยังมีคุณภาพสู้ใจเราไม่ได้
ชาติที่ผ่านมาแล้ว ใจก็บันทึกเอาไว้ แต่เพราะใจของเรายังหยุดนิ่งไม่พอ หลับตาแล้วใจมันมืดตื้อมองไม่เห็นความสว่างภายใน จึงไม่เห็นภาพที่บันทึกไว้ ฝึกสมาธิมาก ๆ เข้าจนกิเลสในใจตกตะกอน ใจใสแจ๋ว หลับตาลืมตา สว่างโพลง ก็จะเห็นภาพที่บันทึกไว้ในใจชัดเจนเลย เหมือนกรอภาพย้อนกลับไปในอดีต ที่เราเรียกว่าระลึกชาติได้ ก็ด้วยเหตุผลอย่างนี้
เมื่อย้อนระลึกถึงความดีที่ทำเอาไว้ คือ...ความดีส่งเรามาอย่างนี้ มิน่า...เราจึงได้มาบวช มาเป็นธรรมทายาท มาพบพร้อมหน้ากันที่วัดพระธรรมกายนี่เอง ถ้าย้อนกลับไปพบความดีก็ทำให้ชื่นใจ อิ่มใจ แต่ความชั่วที่เคยทำไว้ก็ไม่หนีหายไปไหน กรอกลับไป เดี๋ยว ๆ ก็เจอ อ้าว! ไอ้ที่ทำแสบ ๆ ก็โผล่มาให้เราเห็นแล้ว ชัดเลย ไอ้ฟันโตอย่างกับ จอบที่ได้มาก็เพราะไปด่าเขาไว้เยอะ อ๋อ ที่หัวล้านแดง ๆ อยู่นี่ ก็เกิดจากพูดจาล่วงเกินผู้มีศีล ล่วงเกินผู้หลักผู้ใหญ่ไว้ หลวงพ่อเองเมื่อชาติก่อนก็คงหล่อไม่เบาแต่คง ปากไม่ดี พอเห็นหุ่นใครไม่ดีก็ไปว่าเขา ไอ้นี่ก็อ้วน ไอ้นั่นก็พุงพลุ้ย ชาตินี้ก็เลยหล่อยังกะโอ่งไปเสียเอง
บางคนก็ผอมจริง ๆ กินเท่าไหร่ ๆ ก็ไม่อ้วน ระลึกชาติไปดูก็ปรากฏว่าปากไม่ดีเหมือนกัน ชอบพูดค่อนแคะผู้หลักผู้ใหญ่ว่าผอมบ้างแห้งบ้าง ชาตินี้จึงต้องผอมเป็นกุ้งแห้ง
เมื่อระลึกชาติได้ชัดเจน จึงเกิดความกลัวบาปกลัวกรรม จะทำอะไรไม่เข้าท่าเข้าทางก็กลัวบาปกลัวกรรม เพราะว่ามันตามให้ผล จริง ๆ ตามข้ามชาติแน่ะ เห็นชัดนะ
เมื่อระลึกชาติได้แล้ว พระองค์ตรัสว่า "นี้เป็นวิชชาที่หนึ่งที่เราได้บรรลุแล้วในยามแรกแห่งราตรี เพราะฉะนั้น เมื่อวิชชาเกิดขึ้น อวิชชาก็ถูกทำลายไป เหมือนความมืดถูกทำลาย ความสว่างก็เกิดขึ้นแทน”
จากหนังสือ ความยิ่งใหญ่ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
โดย หลวงพ่อทัตตชีโว