ทำไม ? พระพุทธศาสนา จึงถูกทำลาย ตั้งแต่สมัยพุทธกาล ถึงปัจจุบัน
หมดคำถามว่าทำไม พระพุทธศาสนา ถูกทำลาย เพราะ สิ่งที่ต่อสู้กันอยู่ทุกวันนี้ มูลเหตุแห่งสงครามใหญ่ที่รบกันอย่างไม่เลิกลา และไม่รู้จะจบสิ้นเมื่อไร นั่นคือ "พระกับมาร" ซึ่งปราบปรามกันอยู่ ซึ่งไม่รู้ว่าเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไรด้วยซ้ำ http://winne.ws/n16840
สงคราม "พระกับมาร" ยังไม่จบ ..การโจรกรรมลักลอบ ตัดเศียรพระพุทธรูป ??
หลังจากที่เจ้าชายสิทธัตถะโพธิสัตว์ ได้ทรงประทับบนโพธิบัลลังก์แล้วตั้งสัจอธิษฐาน จะไม่ลุกขึ้นหากไม่บรรลุทางแห่งการดับทุกข์ ก็มีมารมาขัดขวางการบำเพ็ญเพียร จะมีการต่อสู้กันอย่างไร พระโพธิสัตว์ใช้สิ่งใดเนอาวุธ ติดตามต่อได้แล้วครับ
สมัยนั้น เทวปุตตมารคิดว่า สิทธัตถกุมารประสงค์จะก้าวล่วงอำนาจของเรา บัดนี้ เราจักไม่ให้สิทธัตถกุมารนั้นล่วงพ้นไปได้ จึงไปยังสำนักของพลมารบอกความนั้น ให้โห่ร้องอย่างมารแล้วพาพลมารออกไป ก็เสนามารนั้นมีข้างหน้ามาร ๑๒ โยชน์ ข้างขวาและข้างซ้างข้างละ ๑๒ โยชน์ ส่วนข้างหลังเสนามารตั้งจรดขอบจักรวาลสูงขึ้นด้านบน ๙ โยชน์ ซึ่งเมื่อบันลือขึ้น เสียงบันลือจะได้ยินเหมือนเสียงแผ่นดินทรุดตั้งแต่ที่ประมาณพันโยชน์
ลำดับนั้นเทวปุตตมารขึ้นขี่ช้างชื่อคีรีเมขสูง ๑๕๐ โยชน์ นิรมิตแขนพันแขนถืออาวุธนานาชนิด แม้ในบริษัทมารนอกนี้ มาร ๒ ตนจะไม่ถืออาวุธเหมือนกัน เป็นผู้มีหน้าต่างๆ คนละอย่างกันพากันมา เหมือนดังจะท่วมทับพระมหาสัตว์ ก็เทวดาในหมื่นจักรวาลได้ยืนกล่าวชมเชยพระมหาสัตว์ ส่วนท้าวสักกเทวราชได้ยืนเป่าสังข์วิชัยยุตร ได้ยินว่า สังข์นั้นมีขนาด ๑๒๐ ศอก เพื่อให้เก็บลมไว้คราวเดียวแล้วเป่า จะมีเสียงอยู่ถึง ๔ เดือนจึงจะหมดเสียง มหากาลนาคราชได้ยืนกล่าวสรรเสริญคุณเกินกว่าร้อยบท ท้าวมหาพรหมได้ยืนกั้นเศวตฉัตรแต่เมื่อพลมารเข้าไปใกล้โพธิมัณฑ์ บรรดาเทวดาเป็นต้นเหล่านั้น แม้ตนหนึ่งก็ไม่อาจดำรงอยู่ได้ ต่างพากันหนีไปเฉพาะในที่ที่ตรงหน้า ๆ
กาลนาคราชดำดินลงไปยังนาคภพอันมีมณเฑียรประมาณ ๕๐๐ โยชน์นอนเอามือทั้งสองปิดหน้า ท้าวสักกะเอาสังข์วิชัยยุตรไว้ข้างหลัง ได้ยืนอยู่ที่ขอบปากจักรวาล. ท้าวมหาพรหมจับปลายเศวตฉัตรไปยังพรหมโลกทันที แม้เทวดาตนหนึ่งชื่อว่าผู้สามารถดำรงอยู่มิได้มี พระมหาบุรุษพระองค์เดียวเท่านั้นประทับนั่งอยู่.
กองทัพมารที่ยกมาจะต่อสู้กับพระโพธิสัตว์ ขนาดพระอินทร์ยังต้องหลบไปขอบจักรวาล
ฝ่ายมารก็กล่าวกะบริษัทของตนว่า พ่อทั้งหลาย ชื่อว่าบุรุษอื่นเช่นกับสิทธัตถะโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ ย่อมไม่มี พวกเราจักไม่อาจทำการสู้รบซึ่งหน้า พวกเราจักสู้รบทางด้านหลัง. ฝ่ายพระมหาบุรุษก็เหลียวดูแม้ทั้ง ๓ ด้านได้ทรงเห็นแต่ความว่างเปล่า เพราะเทวดาทั้งปวงพากันหนีไปหมด ได้ทรงเห็นพลมารหนุนเนื่องเข้ามาทางด้านเหนืออีก ทรงพระดำริว่า ชนนี้มีประมาณเท่านี้ มุ่งหมายเราผู้เดียวกระทำความพากเพียรพยายามอย่างใหญ่หลวง. ในที่นี้ไม่มีบิดามารดา บุตร ธิดา พี่น้องชาย หรือญาติไรๆ อื่น มีแต่บารมี ๑๐ นี้เท่านั้นจะเป็นเช่นกับบุตรแลบริวารชนของเราไปตลอดกาลนาน เพราะฉะนั้น เราจะกระทำบารมีให้เป็นโล่ แล้วประหารด้วยศัสตราคือบารมีนั่นแหละ กำจัดหมู่พลนี้เสียจึงจะควร จึงทรงนั่งระลึกถึงบารมีทั้ง ๑๐ อยู่
พระโพธิสัตว์ทรงระลึกถึงบารมี ๑๐ ทัศน์ เป็นเครื่องต่อสู้กับพญามาร
พระโพธิสัตว์ทรงระลึกถึงบารมี ๑๐ ทัศน์ เป็นเครื่องต่อสู้กับพญามาร
ลำดับนั้นเทวปุตตมารได้บันดาลมณฑลประเทศแห่งลมให้ตั้งขึ้น ด้วยคิดว่า เราจักให้สิทธัตถะหนีไปด้วยลมนี้ทีเดียว ขณะนั้นเองลมอันต่างด้วยลมทิศตะวันออกเป็นต้นได้ตั้งขึ้น แม้สามารถทำลายยอดเขาขนาดกึ่งโยชน์ ๑ โยชน์ ๒ โยชน์ และ ๓ โยชน์ ถอนรากไม้ กอไม้ และต้นไม้เป็นต้น กระทำคามและนิคมรอบด้านให้เป็นจุรณวิจุรณไปได้ ก็มีอานุภาพอันเดชแห่งบุญของมหาบุรุษขจัดเสียแล้ว พอมาถึงพระโพธิสัตว์ก็ไม่อาจทำแม้สักว่าชายจีวรให้ไหว
ลำดับนั้นเทวปุตตมาร ได้บันดาลให้ห่าฝนใหญ่ตั้งขึ้นด้วยหวังว่าจักให้นํ้าท่วมตาย ด้วยอานุภาพของเทวปุตตมารนั้น เมฆฝนอันมีหลืบได้ร้อยหลืบพันหลืบเป็นต้นเป็นประเภท ตั้งขึ้นในเบื้องบนแล้วตกลงมา แผ่นดินได้เป็นช่องๆ ไปด้วยกำลังแห่งสายธารนํ้าฝนมหาเมฆลอยมาทางด้านบนป่าไม้ และต้นไม้เป็นต้น ก็ไม่อาจให้นํ้าสักเท่าหยาดนํ้าค้างหยดให้เปียกที่จีวรของพระมหาสัตว์ แต่นั้นได้บันดาลให้ห่าฝนหินตั้งขึ้น ยอดภูเขาใหญ่ๆ คุกรุ่นเป็นควันลุกเป็นเปลวไฟ ลอยมาทางอากาศพอถึงพระโพธิสัตว์ ก็กลับกลายเป็นกลุ่มดอกไม้ทิพย์
แต่นั้นได้บันดาลให้ห่าฝนเครื่องประหารตั้งขึ้น ศัสตราวุธมีดาบ หอก และลูกศรเป็นต้น มีคมข้างเดียวบ้าง มีคมสองข้างบ้าง คุกรุ่นเป็นควัน ลุกเป็นเปลวไฟ ลอยมาทางอากาศ พอถึงพระโพธิสัตว์ก็กลายเป็นดอกไม้ทิพย์ แต่นั้นได้บันดาลให้ห่าฝนถ่านเพลิงตั้งขึ้น ถ่านเพลิงทั้งหลายมีสีดังดอกทองกวาว ลอยมาทางอากาศกลายเป็นดอกไม้ทิพย์โปรยปรายลงแทบบาทมูลของพระโพธิสัตว์ แต่นั้นได้บันดาลให้ห่าฝนเถ้ารึงตั้งขึ้น เถ้ารึงร้อนจัดมีสีดังไฟลอยมาทางอากาศ กลายเป็นฝุ่นไม้จันทน์ตกลงแทบบาทมูลของพระโพธิสัตว์
แต่นั้นได้บันดาลให้ห่าฝนทรายตั้งขึ้น ทรายทั้งหลายละเอียดยิบ คุเป็นควันลุกเป็นไฟ ลอยมาทางอากาศ กลายเป็นดอกไม้ทิพย์ตกลงแทบบาทมูลของพระโพธิสัตว์ แต่นั้น จึงบันดาลห่าฝนเปือกตมให้ตั้งขึ้น เปือกตมคุเป็นควันลุกเป็นไฟ ลอยมาทางอากาศ กลายเป็นเครื่องลูบไล้ทิพย์ตกลงที่บาทมูลของพระโพธิสัตว์ แต่นั้นได้บันดาลความมืดให้ตั้งขึ้นด้วยคิดว่า เราจักทำให้ตกใจกลัวด้วยความมืดนี้แล้วให้สิทธัตถะหนีไป ความมืดนั้นเป็นความมืดตื้อประดุจประกอบด้วยองค์ ๔ [คือแรม ๑๔ คํ่า ป่าชัฏ เมฆทึบ และเที่ยงคืน] พอถึงพระโพธิสัตว์ก็อันตรธานไป เหมือนความมืดที่ถูกขจัดด้วยแสงสว่างแห่งพระอาทิตย์
พญามารพยายามทุกวิถีทางแต่ก็ไม่อาจทำอันตรายพระโพธิสัตว์ได้
มารไม่อาจทำให้พระโพธิสัตว์หนีไปด้วยลม ฝน ห่าฝนหิน ห่าฝนเครื่องประหาร ห่าฝนถ่านเพลิง ห่าฝนเถ้ารึง ห่าฝนทราย ห่าฝนเปือกตม และห่าฝนคือความมืด รวม ๙ อย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้ จึงสั่งบริษัทนั้นว่า แน่ะพนาย พวกท่านจะหยุดอยู่ทำไม จงจับสิทธัตถกุมารนี้ จงฆ่า จงทำให้หนีไป ส่วนตนเองนั่งบนคอช้างคีรีเมข ถือจักราวุธเข้าไปใกล้พระโพธิสัตว์แล้วกล่าวว่า สิทธัตถะท่านจงลุกขึ้นจากบัลลังก์นี้ บัลลังก์นี้ไม่ถึงแก่ท่าน บัลลังก์นี้ถึงแก่เรา
พระมหาสัตว์ได้ฟังคำของมารนั้น จึงได้ตรัสว่า ดูก่อนมาร ท่านไม่ได้บำเพ็ญบารมี ๑๐ อุปบารมี ๑๐ และปรมัตถบารมี ๑๐ ทั้งไม่ได้บริจาคมหาบริจาค ๕ ไม่ได้บำเพ็ญญาตัตถจริยา โลกัตถจริยาและพุทธัตถจริยา บัลลังก์นี้จึงไม่ถึงแก่ท่าน บัลลังก์นี้ได้ถึงแก่เรา.
มารโกรธอดกลั้นกำลังความโกรธไว้ไม่ได้ จึงขว้างจักราวุธใส่พระมหาสัตว์ เมื่อพระมหาสัตว์นั้นทรงรำพึงถึงบารมี ๑๐ ทัศอยู่ จักราวุธนั้นได้ตั้งเป็นเพดานดอกไม้อยู่ในส่วนเบื้องบน ได้ยินว่าจักราวุธนั้นคมกล้านัก มารนั้นโกรธแล้วขว้างไปในที่อื่น ๆ จะตัดเสาหินแท่งทึบเป็นอันเดียวไปเหมือนตัดหน่อไม้ไผ่ แต่บัดนี้ เมื่อจักราวุธนั้นกลายเป็นเพดานดอกไม้ตั้งอยู่ บริษัทมารนอกนี้คิดว่า สิทธัตถกุมารจักลุกจากบัลลังก์หนีไปในบัดนี้ จึงพากันปล่อยยอดเขาหินใหญ่ ๆ ลงมา
เมื่อพระมหาบุรุษทรงรำพึงถึงบารมี ๑๐ ทัศ แม้ยอดเขาหินเหล่านั้นก็ถึงภาวะเป็นกลุ่มดอกไม้ตกลงยังภาคพื้น เทวดาทั้งหลายผู้ยืนอยู่ที่ขอบปากจักรวาล ยืดคอชะเง้อศีรษะออกดูด้วยคิดกันว่า ท่านผู้เจริญ อัตภาพอันถึงความงามแห่งพระรูปโฉมของสิทธัตถกุมารฉิบหายเสียแล้วหนอ สิทธัตถกุมารจักทรงกระทำอย่างไรหนอ
ลำดับนั้น พระมหาบุรุษตรัสว่า บัลลังก์ได้ถึงแก่เราในวันที่พระโพธิสัตว์ทั้งหลายบำเพ็ญบารมีแล้วตรัสรู้ยิ่ง ดังนี้ แล้วตรัสกะมารผู้ยืนอยู่สืบไปว่า ดูก่อนมาร ใครเป็นสักขีพยานในความที่ท่านให้ทานแล้ว. มารเหยียดมือไปตรงหน้าหมู่มาร โดยพูดว่า มารเหล่านี้มีประมาณเท่านี้เป็นพยาน. ขณะนั้นเสียงของบริษัทมารซึ่งเป็นไปว่า เราเป็นพยาน เราเป็นพยาน ดังนี้ ได้เป็นเช่นกับเสียงแผ่นดินทรุด.
ลำดับนั้น มารจึงกล่าวกะพระมหาบุรุษว่า ดูก่อนสิทธัตถะ ในภาวะที่ท่านให้ทาน ใครเป็นสักขีพยาน พระมหาบุรุษตรัสว่าก่อนอื่น ในภาวะที่ท่านให้ทาน พลมารทั้งหลายผู้มีจิตใจเป็นพยาน แต่สำหรับเรา ใคร ๆ ผู้มีจิตใจชื่อว่าจะเป็นพยานให้ย่อมไม่มีในที่นี้ ทานที่เราให้แล้วในอัตภาพอื่น ๆ จงยกไว้ ก็ในภาวะที่เราดำรงอยู่ในอัตภาพเป็นพระเวสสันดรแล้ว ได้ให้สัตตสตกมหาทาน ให้สิ่งของอย่างละ ๗๐๐ มหาปฐพีอันหนาทึบนี้ แม้จะไม่มีจิตใจก็เป็นสักขีพยานให้ก่อน จึงทรงนำออกเฉพาะพระหัตถ์ขวา จากภายในกลีบจีวร แล้วทรงเหยียดพระหัตถ์ชี้ลงตรงหน้ามหาปฐพี พร้อมกับตรัสว่า
ในคราวที่เราดำรงอยู่ในอัตภาพเป็นพระเวสสันดรแล้วให้สัตตสตกมหาทาน ท่านได้เป็นพยานหรือไม่ได้เป็น.
มหาปฐพีได้ดั่งสนั่นหวั่นไหวประหนึ่งท่วมทับพลมาร ด้วยร้อยเสียงพันเสียงว่า ในกาลนั่นเราเป็นพยานท่าน แต่นั้น มหาปฐพีได้กล่าวว่า ท่านสิทธัตถะทานที่ท่านให้แล้ว เป็นมหาทาน เป็นอุดมทาน เมื่อพระมหาบุรุษพิจารณาถึงทานที่ได้ให้โดยอัตภาพเป็นพระเวสสันดร ช้างคีรีเมขสูง ๑๕๐ โยชน์ก็คุกเข่าลง.
บริษัทของมารต่างพากันหนีไปยังทิศานุทิศ. ชื่อว่ามารสองตนจะไปทางเดียวกัน ย่อมไม่มี ต่างละทิ้งเครื่องประดับศีรษะ และผ้าที่นุ่งห่มหนีไปเฉพาะทิศทั้งหลายตรงๆ หน้า.
ลำดับนั้น หมู่เทพทั้งหลายเห็นมารและพลมารหนีไปแล้ว กล่าวกันว่า มารปราชัยพ่ายแพ้แล้ว สิทธัตถกุมารมีชัยชนะแล้ว พวกเรามากระทำการบูชาความมีชัยกันเถิด ดังนี้ พวกนาคก็ประกาศแก่พวกนาค พวกครุฑก็ประกาศแก่พวกครุฑ พวกเทวดาก็ประกาศแก่พวกเทวดา พวกพรหมก็ประกาศแก่พวกพรหม พวกวิทยาธร (ก็ประกาศแก่พวกวิทยาาธร) ต่างมีมือถือของหอมและดอกไม้เป็นต้นมายังโพธิบัลลังก์สำนักของพระมหาบุรุษ.
ก็เมื่อมารและพลมารเหล่านั้นหนีไปอย่างนี้แล้ว พระแม่ธรณีบีบน้ำที่พระโพธิสัตว์หลั่งลงธรณีขณะทำทานออกจากมวยผม ท่วมกองทัพพญามาร
ในกาลนั้น หมู่นาค แม้หมู่ครุฑ แม้เทพ หมู่พรหม มีใจเบิกบานประกาศความชนะของพระมเหสีเจ้า ณ โพธิมัณฑ์ว่า ก็พระพุทธเจ้าผู้มีสิรินี้ทรงมีชัยชำนะ ส่วนมารผู้ลามกปราชัยพ่ายแพ้แล้ว แล.
ในที่สุดเจ้าชายสิทธัตถะโพธิสัตว์ก็สามารถเอาชนะพญามารได้ด้วยพระบารมีที่ทรงสั่งสมมา หลังจากนี้พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญเพียรทางจิตสมาธิต่อไป เพื่อบรรลุสัพพัญญุตญาณทางแห่งความพ้นทุกข์
ขออนุโมธนาบุญผู้มีบุญมากทุกท่านในการศึกษาพุทธประวัติ
ที่มา: https://dhammaweekly.wordpress.com/2010/04/27/สงครามพญามาร-พระพุทธเจ้/
พระพุทธรูปแห่งบามิยันถูกระเบิดทำลายโดยกลุ่มตาลีบันในปี 2544 - บีบีซีไทย
ขอบคุณวิดิโอจาก https://youtu.be/sJP7Cceblo0
ภาพสุดสะเทือนใจชาวพุทธเมื่อกลุ่มตาลีบัน ได้ทำการระเบิดทำลายพระพุทธรูป
พระพุทธรูป แห่ง บามิยันเป็นพระพุทธรูปหินขนาดใหญ่ เคยเป็นข่าวโด่งดังเมื่อช่วงปี 2001 เมื่อมีภาพสุดสะเทือนใจชาวพุทธเมื่อกลุ่มตาลีบันได้ทำการระเบิดทำลายพระพุทธรูปแห่งบามิยัน เนื่องจากหลักศาสนาอิสลามไม่อนุญาตให้มีรูปเคารพ (http://wowboom.blogspot.com/2011/09/buddhas-of-bamiyan.html)
เศียรพระพุทธรูปหินทราย เก็บรักษาที่พิพิธภัณฑสถานเเห่งชาติ วังจันทรเกษม
การระวังป้องกัน การลักลอบตัดเศียรพระ
นอกเหนือจากการล่ามโซ่หรือติดลงกรงเหล็กดัด อันแลดูไม่เป็นการสมควรแต่ก็จำเป็นต้องป้องกันไว้ก่อนแล้วนั้น ประเด็นสำคัญคือ ควรผลักดันให้ชุมชนในท้องถิ่นเข้าไปมีส่วนรับรู้ในสมบัติของชุมชน ซึ่งเป็นสมบัติล้ำค่าของแผ่นดินให้มากที่สุด ว่าวัดในชุมชนของตนมีโบราณวัตถุอะไรบ้าง มีการถ่ายรูปตลอดจนประวัติเผยแพร่ เพื่อจะได้ช่วยคอยสอดส่องดูแลและตรวจสอบความผิดปกติ การตีพิมพ์ภาพพระ หรือเผยแพร่ในสิ่งพิมพ์ ในเว็บไซต์ ก็เป็นอีกประเด็นที่จะช่วยลด "ใบสั่ง" อย่างได้ผล เพราะผู้เช่าหาก็จะไม่เสี่ยงต่อการเช่าซื้อพระพุทธรูปที่มีที่มาที่ไปชัดเจน คนขายจะสร้างนิยายเพื่อหวังผลก็ยากขึ้น และยังเป็นหลักฐานในการติดตาม ช่วยกันดู ช่วยกันหา ได้อีกทางหนึ่งครับผม (http://www.itti-patihan.com/มูลเหตุแห่ง-การโจรกรรมลักลอบ-ตัดเศียรพระพุทธรูป.html)