“โลกนี้ไม่มีอะไรใหม่” คำนี้...ยังคงใช้ได้ตลอดกาล จริงหรือไม่ ?

ชีวิตคนเราก็เช่นกัน อยากจะพัฒนาไปไกลแค่ไหน อย่างน้อยก็ต้องใช้ความรู้เก่ามาเป็นพื้นฐาน จะเรียกว่าต่อยอด หรือเดินตามรอยทางเดิมก็คงได้ พูดให้รวบรัด ก็คือ “ก็อปปี้” มาใช้นั่นเอง มนุษย์มีศักยภาพไม่จำกัด สามารถกำจัดแก้ไขปัญหาอะไรก็ได้ทั้งนั้น http://winne.ws/n18423

1.3 พัน ผู้เข้าชม
“โลกนี้ไม่มีอะไรใหม่”   คำนี้...ยังคงใช้ได้ตลอดกาล จริงหรือไม่ ?

“โลกนี้ไม่มีอะไรใหม่”   คำนี้ยังคงใช้ได้ตลอดกาล

หมายถึงทุกอย่างมันมี มันเป็น ของมันมานานอยู่ก่อนแล้ว

มนุษย์แค่มาพบสิ่งที่ไม่เคยเห็น หรือรู้มาก่อนเท่านั้นเอง

บางอย่างเหมือนใหม่ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องอาศัยความรู้เก่าเป็นพื้นฐาน

วันนี้โลกเราจะสว่างได้อย่างไร ถ้าไม่มีไมเคิล ฟาราเดย์ มาค้นพบไฟฟ้า
และไม่มีหลอดไฟที่เอดิสันประดิษฐ์ขึ้นมา

ไอน์สไตน์จะค้นพบทฤษฎีสัมพัทธภาพได้อย่างไร ถ้าไม่มีฐานความรู้ทางฟิสิกส์จากคนรุ่นก่อน

ลองคิดง่าย ๆ ใกล้ ๆ ตัว

ถ้าบอกให้คุณจุดไฟ คุณน่าจะมีทางเลือกได้หลายทาง

ตั้งแต่จุดจากไฟแช็ค จุดจากแก๊สหุงต้ม จุดจากไม้ขีดไฟ จุดจากใช้เลนส์รวมแสง ไปจนใช้หินเหล็กไฟ หรือใช้ไม้มาสีกัน

มันฟังดูง่ายมากใช่ไหม

แต่ลองนึกดู ว่าถ้าคุณไม่มีอุปกรณ์หรือความรู้เหล่านั้นมาก่อน

คุณต้องใช้เวลาสักเท่าไหร่ จึงจะหาวิธีจุดไฟให้ได้สักกองหนึ่ง

ชีวิตคนเราก็เช่นกัน อยากจะพัฒนาไปไกลแค่ไหน อย่างน้อยก็ต้องใช้ความรู้เก่ามาเป็นพื้นฐาน

จะเรียกว่าต่อยอด หรือเดินตามรอยทางเดิมก็คงได้

พูดให้รวบรัด ก็คือ “ก็อปปี้” มาใช้นั่นเอง

มนุษย์มีศักยภาพไม่จำกัด สามารถกำจัดแก้ไขปัญหาอะไรก็ได้ทั้งนั้น

ความจริงอยากจะบอกว่า “ทุกปัญหาแก้ได้” แต่เกรงใจกลัวไม่เชื่อกัน

อย่างเมื่อ 2,600 ปีที่ผ่านมา พระพุทธเจ้าทรงค้นพบความรู้ที่ใช้สู้กับความทุกข์และปัญหาในระดับต้นตอ

โดยพบว่าทุกข์ต่าง ๆ มีจุดตั้งต้นมาจากการ “เกิด”

จะแก้ปัญหาการเกิด ก็ต้อง “ไม่เกิด” แค่นั้นเอง (แต่แค่คิดให้ได้อย่างท่านก็ยากแล้ว)

สุดท้ายท่านแก้ได้ แล้วกลายมาเป็นพระพุทธเจ้าของเรา

วิธีแก้ปัญหาที่ท่านสอนน่าสนใจมาก ถือเป็นมรดกที่หาได้ยาก และคุณสามารถเอาไปใช้ได้ฟรี

แต่รายละเอียดการฝึกก็มี ทั้งที่ทำง่ายและที่ทำได้ยากเหมือนกัน

แต่ถ้าทำของง่ายได้ ต่อไปของยากก็ง่ายแล้วละ

หลวงพี่โชคดี ที่มีโอกาสได้ครูที่ดีมาช่วยไขความกระจ่าง และให้แนวทางในการแก้ไขนิสัย ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาจากภายในตัวเราเอง

และยังโชคดีซ้ำ ที่ครูบาอาจารย์เมตตาให้ทำงานอบรมบุคลากร

อบรมโดยมุ่งแก้นิสัยของคนที่ต้นตอ โดยนำหลักคำสอนของพระพุทธเจ้ามาเป็นแนวทาง

เมื่อแก้ได้ระดับไหน ความทุกข์ระดับนั้นหายไป ความสุขก็จะเข้ามาแทน

หน้าที่นี้ทำให้ได้เห็นนิสัยทั้งดีทั้งแย่ของผู้คน (รวมทั้งตัวเราเองด้วย)

ซึ่งมันก็เหมือนครูของเรา

การเรียนรู้ผ่านคนอื่นเขา ทำให้เราต่อยอดก้าวกระโดดไปได้ไกล

จน 22 ปีผ่านไป มีบางสิ่งที่หลวงพี่ฝึกได้ บางอย่างอยู่ในระหว่างฝึกทำ และหลายอย่างยังทำไปไม่ถึงไหนเลย

ถึงแม้วันนี้จะยังไม่ดีมาก แต่จากประสบการณ์ที่ได้ หลวงพี่ว่าน่าพอใจ

และคิดว่ามากพอจะแลกเปลี่ยนแบ่งปัน

ถ้าคุณอยากเรียนรู้ไปด้วยกันก็ขอเชิญเข้ามา

มาช่วยกันแก้ปัญหา เพื่อพัฒนาศักยภาพอันไม่จำกัดในตัวเรา

มาสู้กับคู่ต่อสู้ที่เอาชนะได้ยากที่สุดในชีวิตเรา ซึ่งคือตัวเราเองในด้านที่ทำให้เราตกต่ำลง

ภูเขาสูงที่ปีนยาก แต่ถ้าบากบั่นพยายาม

สักวันยอดเขามันจะลงไปอยู่ข้างล่าง ภายใต้เข่าของเราเอง

Cr. LpJum

แชร์