อานิสงส์ถวายผ้าจำนำพรรษา แม้ยังมีชีวิตอยู่ แต่วิมานและบริวาร อุบัติขึ้นรอเจ้าของบนสวรรค์แล้ว

ในกาลครั้งนั้นพระโมคคัลลานะ ผู้ประกอบ ด้วยฤทธานุภาพ สามารถนำข่าวสารสวรรค์มาบอกมนุษย์นำข่าวมนุษย์ไปบอกสวรรค์ และนรกเป็นต้น ครั้งแล้วพระโมคคัลลานะก็ขึ้นสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ได้เห็นปราสาทมีความงามรุ่งเรืองกว่าปราสาทหลังอื่น ๆ http://winne.ws/n19664

5.5 พัน ผู้เข้าชม
อานิสงส์ถวายผ้าจำนำพรรษา แม้ยังมีชีวิตอยู่ แต่วิมานและบริวาร อุบัติขึ้นรอเจ้าของบนสวรรค์แล้ว

ประวัติความเป็นมาสมัยพุทธกาล

....เมื่อสมัยครั้งพระบรมศาสดาประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร กรุงสาวัตถี มีอุบาสกคนหนึ่งเป็นผู้มีศรัทธาต่อพระรัตนตรัย ชื่อว่าติสสะ ได้พร้อมใจกับภรรยาของตนเย็บและย้อม ซึ่งจีวรสบงสังฆาฏิ ได้ถวายเสร็จแล้วก็ทูลลากลับไปสู่เคหาของตน

... ในกาลครั้งนั้นพระโมคคัลลานะ ผู้ประกอบ ด้วยฤทธานุภาพ สามารถนำข่าวสารสวรรค์มาบอกมนุษย์นำข่าวมนุษย์ไปบอกสวรรค์ และนรกเป็นต้น ครั้งแล้วพระโมคคัลลานะก็ขึ้นสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ได้เห็นปราสาทมีความงามรุ่งเรืองกว่าปราสาทหลังอื่น ๆ และมีนางเทพกัญญา พันหนึ่งแวดล้อมปราสาทนั้น แต่ไม่มีเทพบุตรอยู่ในปราสาทหลังนั้น 

       พระเถระเจ้าได้ไต่ถามกับนางเทพอัปสรนั้น ได้ทราบโดยตลอด จึงลงจากเทวโลกเข้าไปสู่สำนักพระบรมศาสดากำลังมีพุทธบริษัททั้ง ๔ แวดล้อมอยู่ พระเถระเข้าไปถวายอภิวาท แล้วก็ทูลถามถึงอานิสงส์ถวายผ้าจำนำพรรษายังมีชีวิตอยู่ในเมืองมนุษย์ ว่าปราสาททิพย์ได้รอคอยอยู่ในเทวโลก เพราะเกิดจากผลทานของการถวายผ้าจำนำพรรษา จะมีบ้างไหม 

       พระองค์ทรงตรัสว่า ดูกรโมคคัลลานะ ผ้าจำนำพรรษาที่ติสสะอุบาสกได้กระทำไว้นั้น ก็ได้ปรากฏแก่เธอเองแล้วมิใช่หรือ พระโมคคัลลานะ ทูลตอบว่าจริงแล้วพระเจ้าข้าสมเด็จภวันต์ตรัสต่อไปว่า โมคคัลลานะบุคคลผู้ใดมี ศรัทธา ได้ถวายผ้าจำนำพรรษาแก่ภิกษุสงฆ์ มีองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นต้น บุคคลผู้นั้นเบื้องหน้าแต่แตกกายทำลายขันธ์ ไปย่อมมีสุคติเป็นที่ไป  ผลทานเป็นบันไดนำไปสู่สวรรค์ ปิดกันเสียซึ่งอบายภูมิ บุคคลผู้มีมืออันชุ่มไปด้วยการให้ทาน หมู่ทวยเทพทั้งหลายย่อมมีความยินดี สรรเสริญรอคอยบุคคลผู้ให้ทานนั้นอยู่เสมอ ดุจนางอัปสรเทพกัญญารอคอยติสสะอุบาสกฉะนั้น 

       เมื่อจบพระสัทธรรมเทศนาลง บริษัททั้ง ๔ มีความรื่นเริง ยินดีในพุทธพจน์นัก กลับเป็นผู้ตั้งอยู่ในกุศลสัมมาปฏิบัติเป็นจำนวนมาก ฝ่ายติสสะอุบาสกครั้นทำลายขันธ์ลงก็นำตนไปอุบัติขึ้นในสัตตรัตนปราสาท เสวยสมบัติอันเป็นทิพย์ มีนางอัปสรแวดล้อมเป็นยศบริวาร (ที่มา http://www.buddhadham.com/index.php?mo=3&art=243528)

อานิสงส์ถวายผ้าจำนำพรรษา แม้ยังมีชีวิตอยู่ แต่วิมานและบริวาร อุบัติขึ้นรอเจ้าของบนสวรรค์แล้ว

การถวายผ้าจำนำพรรษา 

       ผ้าจำนำพรรษา หมายถึงผ้าที่ถวายแก่ภิกษุผู้อยู่จำพรรษาครบสามเดือน(แต่ไม่ครบ 5 รูปจึงรับผ้ากฐินไม่ได้) เว้นผ้ากฐิน เป็นพิเศษส่วนหนึ่ง ที่พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตให้ ภิกษุผู้จำพรรษาครบสามเดือน กราบอนุโมทนากฐินแล้วรับและบริโภคใช้สอยได้ ภายในกำหนดห้าเดือน อันเป็นเขตอานิสงส์กฐิน คือนับตั้งแต่แรมค่ำเดือนสิบเอ็ด ถึงขึ้น 15 ค่ำเดือน12 เท่านั้น ถ้าถวายผ้านอกกาลนี้ไม่นับเป็นผ้าจำนำพรรษา การถวายผ้าในเขตดังกล่าวนี้เป็นการสงเคราะห์ภิกษุ กำลังต้องการจีวรมาผลัดเปลี่ยนของเก่าในระหว่างจีวรกาล จึงนิยมทำกันมาแต่ครั้งพุทธกาล 

      ในทางราชการของไทยปรากฏทำเป็นแบบแผนขึ้นในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีแจ้งอยู่ในพระราชพิธีสิบสองเดือน ในปัจจุบันงดมานานแล้ว สำหรับชาวบ้านยังทำกันอยู่บ้าง มีระเบียบปฏิบัติที่ทำกันทั่วไปคือ ผ้าที่ถวายนั้นไม่จำกัดให้เป็นอย่างเดียวกัน จะเป็นผ้าไตรจีวรสำเร็จรูปทั้งไตร หรือผืนใดผืนหนึ่งก็ได้ แม้ผ้าขาวก็ได้ บางทีมีไทยธรรมอย่างอื่นเป็นบริวารด้วย 

        เมื่อถึงกำหนดทายก และชาวบ้านนำผ้าและไทยธรรม ไปพร้อมยังสถานที่นัดภายในวันมีโรงอุโบสถ หรือศาลาการเปรียญ เมื่อได้เวลาพระสงฆ์ลงประชุม ถ้าเจ้าภาพคนเดียวมีไทยธรรมเหมือน ๆ กัน ก็กล่าวคำถวายแล้วประเคนเรียงไปโดยลำดับ แต่ถ้าทำร่วมกัน ผ้าและของไม่เหมือนกัน ก็ต้องติดเลขหมายแล้วถวายให้พระสงฆ์ไปจับสลาก ก่อนจับสลากทายกกล่าวคำถวาย ดังนี้

      อิมานิ มยํ ภนฺเต วสฺสาวาสิกจีวรานิ , สปริวารานิ , ภิกขุสงฺฆสฺส , โอโณชยาม , สาธุโน ภนฺเต , ภิกฺขุสงฺโฆ , อิมานิ , วสฺสาวาสิกจีวรานิ , สปริวารานิ , ปฏิคณฺหาตุ , อมฺหากํ , ฑีฆรตฺตํ , หิตาย , สุขาย. 

       ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวายผ้าจำนำพรรษา กับทั้งบริวารเหล่านี้ แก่พระภิกษุสงฆ์ ขอพระภิกษุสงฆ์จงรับผ้าจำนำพรรษา กับทั้งบริวารเหล่านี้ของข้าพเจ้าทั้งหลาย เพื่อประโยชน์และความสุข แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย สิ้นกาลนาน เทอญ ฯ


อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : http://www.anc.ubu.ac.th/buddhismday56/show_detil2.php?m_id=15

แชร์