การบวชในพระพุทธศาสนา คืออะไร ? ทำไมต้องเป็นนาคก่อนบวชพระ..?

คำว่า “ปพฺพชฺชา“ นี้ มีรากศัพท์ คือ ป + วช : ป แปลว่า ทั่วหรือสิ้นเชิง วช แปลว่า ไป หรือเว้น คำว่า ป + วช จึงแปลว่า ไปโดยสิ้นเชิง หรือ เว้นโดยสิ้นเชิง ไปจากความเป็นฆราวาส http://winne.ws/n18924

9.3 พัน ผู้เข้าชม
การบวชในพระพุทธศาสนา คืออะไร ?  ทำไมต้องเป็นนาคก่อนบวชพระ..?แหล่งภาพจาก commons.wikimedia.org

การบวชคืออะไร ?   

เมื่อมีปัญหาขึ้นมาว่า การบวช คืออะไร ? ดังนี้แล้ว ทางที่ดีที่สุดควรจะถือเอาใจความตัวพยัญชนะคำว่า “บวช“ นั่นเอง คำว่า “บวช“ เป็นภาษาไทย ซึ่งถอดรูปมาจากคำในภาษาบาลีว่า ปพฺพชฺชา 
           คำว่า “ปพฺพชฺชา“ นี้ มีรากศัพท์ คือ ป + วช : ป แปลว่า ทั่วหรือสิ้นเชิง 
           วช แปลว่า ไป หรือเว้น 
           คำว่า ป + วช จึงแปลว่า ไปโดยสิ้นเชิง หรือ เว้นโดยสิ้นเชิง
           ที่ว่า “ไปโดยสิ้นเชิง“ นั้นหมายถึง ไปจากความเป็นฆราวาส คือ จากการครองเรือนไปสู่ความเป็นบรรพชิต คือ ผู้ไม่ครองเรือนโดยสิ้นเชิง โวหารที่สูงไปกว่านั้น ท่านเรียกว่า ไปจากโลกโดยสิ้นเชิง ซึ่งหมายความว่า ละเสียจากวิสัยที่ชาวโลกเขามีกัน เป็นกันโดยสิ้นเชิง นั่นเอง

           คำว่า "ไปจากความเป็นฆราาสนี้หมายความว่า  ไปจากบ้านเรือน  ซึ่งหมายถึง
            การสละความมีทรัพย์สมบัติ
            การสละวงศ์ญาติทั้งหลาย
            การเลิกละการนุ่งห่มอย่างฆราวาส
            เลิกละการกินอยู่อย่างฆราวาส
            เลิกละการใช้สอยอย่างฆราวาส
            เลิกละอาการกิริยาวาจาอย่างฆราวาส
            เลิกละความรู้สึกนึกคิดอย่างฆราวาสสิ้นเชิง

ดังนี้  จึงจะเรียกว่า  ไปหมดจากความเป็นฆราวาส  โดยสิ้นเชิง  หรือไปจากโลกโดยสิ้นเชิง 
            โดยสรุปแล้ว ฉันอยู่ด้วยการระลึกถึงพระพุทธภาษิตของพระพุทธองค์ ซึ่งเราถือว่าเป็นพระพุทธบิดา อันได้ตรัสไว้ว่า “ พวกเธอ จงฉันบิณฑบาตสักว่าเหมือนกับน้ำมันสำหรับหยอดเพลาเกวียนหรือเหมือนกับมารดาบิดาซึ่งหลงทางกลางทะเลทราย ต้องจำใจกินเนื้อบุตรของตน ที่ตายแล้วในกลางทะเลทราย   เพื่อประทังชีวิตของตนเองฉันนั้น กิริยาดังกล่าวนี้ คือ การเลิกละจากการกินอยู่อย่างฆราวาสโดยสิ้นเชิง

            ที่ว่า “ ป+ วช “ หรือเป็นภาษาบาลีอย่างเต็มรูปว่า "ปพฺพชฺชา" นั่นเอง นี้คือความหมายของคำว่า “ บวช “ ในส่วนที่ว่า “ ไปหมด “ คือไปหมดจากความเป็นผู้ครองเรือนหรือเพศฆราวาสนั่นเอง
            ส่วนความหมายของคำว่า “ บวช “ ที่ว่า “ เว้นหมด “ นั้น อธิบายว่าเมื่อบวชเป็นบรรพชิตแล้ว จักต้องเว้นสิ่งซึ่งควรเว้น ตามที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้อย่างไรนั้นโดยสิ้นเชิง

บวชทำไม? 

พระพุทธเจ้าได้ตรัส ธัมมุเทส ไว้ ๔ ข้อ คือ

        -  โลกอันชราย่อมนำเข้าไป ไม่ยั่งยืน
        - 
โลกไม่มีอะไรต้านทานจากความเจ็บป่วย ไม่เป็นใหญ่
       - 
โลกไม่ใช่ของ ๆ ตน เพราะทุก ๆ คนจำต้องละสิ่งทั้งปวงไป ด้วยอำนาจของความตาย และ
       - 
โลกพร่องอยู่ ไม่มีอิ่ม เป็นทาสของตัณหาคือความดิ้นรนทะยานอยาก
ท่านได้ปรารภธัมมุเทส คือการแสดงธรรมของพระพุทธเจ้าทั้ง ๔ ประการนี้ จึงได้ออกบวช.

การบวชในพระพุทธศาสนา คืออะไร ?  ทำไมต้องเป็นนาคก่อนบวชพระ..?แหล่งภาพจาก Dhammakaya Foundation & Wat Phra Dhammakaya

เครื่องมือของคนบวช คืออะไร 

         ผู้บวชหรือผู้บวชแล้วก็ตาม ย่อมจำเป็นที่จะต้องมีเครื่องมือสำหรับใช้ เพื่อให้สำเร็จประโยชน์ในการบวช และเป็นเครื่องป้องกันไม่ให้ได้รับอันตรายจากการบวช ดังที่พระองค์ได้ตรัสไว้ว่า

       “ การบวชที่รับเอาไปไม่ถูกทาง ย่อมทำอันตรายแก่ผู้บวชเหมือนใบหญ้าที่มีคม เมื่อจับดึงไม่ถูกทาง ย่อมบาดมือผู้จับดึงได้ฉันใดก็ฉันนั้น  ดังนี้ 
      ในอันดับแรกที่สุด ผู้บวชจะต้องมีความรู้สึกและรับรู้ไว้ว่า ผ้าเหลือง หรือที่เรียกกันว่า “ ผ้ากาสาวพัสตร์ “ นั้น ท่านถือกันว่าเป็น ธงชัยของพระอรหันต์  ซึ่งเรียกโดยภาษาบาลีว่า “ อรหตฺตธโช “ ซึ่งตามตัวหนังสือก็แปลว่า “ ธงชัยของพระอรหันต์  อยู่แล้ว 

              ข้อนี้หมายความว่า ผ้าย้อมฝาดสีหม่นนี้ เป็นเครื่องหมายอันศักดิ์สิทธิ์ของผู้มีความบริสุทธิ์และประเสริฐ ตั้งอยู่ในฐานะเป็นปูชยนียบุคคล ทั้งของเทวดาและมนุษย์ แม้ที่สุดแต่สัตว์เดรัจฉาน ท่านก็กล่าวว่าย่อมรู้สึกว่า ผ้ากาสายะนั้นเป็นเครื่องหมายของพระอรหันต์ ผู้ไม่เป็นข้าศึกแก่ตน 

           ความข้อนี้ก็เป็นหลักที่พระพุทธองค์ตรัสยืนยันไว้ในที่หลายแห่ง  เช่น บาลีว่า “ อนิกฺกสาโว กาสาวํ  ดังนี้ เป็นอาทิ ซึ่งมีใจความดังที่กล่าวแล้ว 

              เพราะฉะนั้น ในขณะที่จะให้ผู้เข้ามาบวชห่มผ้ากาสายะในวันนั้น ท่านจึงมีระเบียบกล่าวสอน ตจปัญจกกัมมัฏฐาน เพื่อฟอกจิตใจบุคคลผู้ที่กำลังจะห่มผ้ากาสายะนั้น ให้อยู่ในสภาพที่พอเหมาะสมแก่การ ที่จะห่มผ้ากาสายะในเบื้องต้นเสียก่อน 

การบวชในพระพุทธศาสนา คืออะไร ?  ทำไมต้องเป็นนาคก่อนบวชพระ..?แหล่งภาพจาก ร้านเพื่อน25 บางกระดี่-มหาชัย - blogger

ประวัติความเป็นมาของคำว่า "นาค"

            ชายเมื่อมีอายุครบ20ปีบริบูรณ์ จะสามารถอุปสมบท หรือบวช เป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา เพื่อศึกษาธรรมวินัยนำมาเป็นหลักในการประพฤติปฏิบัติต่อไปในการออกมาครองเรือนในภายภาคหน้าได้ สำหรับก่อนการบวชเรียนจะมีการไปอยู่วัดเพื่อเตรียมฝึกหัดในการท่องคำขานนาค และฝึกหัดซ้อมเกี่ยวกับวิธีบวช ในช่วงที่มาอยู่วัดนี้ ชาวบ้านจะเรียกผู้เตรียมตัวจะบวชว่า "นาค" หรือ " "พ่อนาค" "

อาจมีหลายๆคนสงสัยว่า ทำไมต้องเรียกผู้จะบวชว่านาค ทำไมไม่เรียกชื่ออื่น ประวัติความเป็นมาของคำว่า ""นาค" อาจทำให้หลายๆคนหายข้องใจได้ ซึ่งประวัติของคำว่า "นาค" มีดังนี้

ในสมัยพุทธกาล เมื่อครั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังดำรงพระชนม์อยู่ มีพญานาคผู้หนึ่งได้แปลงร่างเป็นมนุษย์เข้ามาบวชเป็นพระภิกษุ อยู่มาวันหนึ่งได้เผลอนอนหลับ ร่างจึงกลับกลายเป็นพญานาคดั่งเดิม ภิกษุอื่นไปพบเข้าก็เกิดความเกรงกลัว เมื่อพระพุทธเจ้าทรงทราบจึงเรียกมาตรัสถาม ได้ความว่าเพราะเกิดความศรัทธาในพระพุทธศาสนาจึงปลอมตัวมาบวช พระพุทธองค์ทรงดำริว่าสัตว์ดิรัจฉานไม่อยู่ในฐานะควรจะบวชจึงโปรดให้ปลงเพศบรรพชิตกลับไปเป็นาคดั่งเดิม แต่ภิกษุนั้นมีความอาลัย จึงขอฝากชื่อนาคไว้ในพระพุทธศาสนา ดังนั้นจึงมีคำเรียกขานคนที่ต้องการจะบวชว่า "นาค" สืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน (ที่มา:ประเพณี พิธีมงคล และวันสำคัญของไทย)

การบวชในพระพุทธศาสนา คืออะไร ?  ทำไมต้องเป็นนาคก่อนบวชพระ..?แหล่งภาพจาก วัดบวรนิเวศวิหาร

ผู้ที่จะบวชเป็นสามเณรหรือพระได้ต้องมีคุณสมบัติดังนี้

๑.เป็นสุภาพชนที่มีความประพฤติดีประพฤติชอบ ไม่มีความประพฤติเสียหาย เช่นติดสุราหรือยาเสพติดให้โทษเป็นต้น และไม่เป็นคนจรจัด

๒.มีความรู้อ่านและเขียนหนังสือไทยได้

๓.ไม่เป็นผู้มีทิฏฐิวิบัติ

๔.ไม่เป็นคนล้มละลาย หรือมีหนี้สินผูกพัน

๕.เป็นผู้ปราศจากบรรพชาโทษ และมีร่างกายสมบูรณ์ อาจบำเพ็ญสมณกิจได้ ไม่เป็นคนชราไร้ความสามารถหรือทุพพลภาพ หรือพิกลพิการ

๖.มีสมณบริขารครบถ้วนและถูกต้องตามพระวินัย

๗.เป็นผู้สามารถกล่าวคำขอบรรพชาอุปสมบทได้ด้วยตนเอง และถูกต้องไม่วิบัติ

ต่อไปนี้เป็นลักษณะต้องห้ามสำหรับผู้จะบวชได้แก่

๑.เป็นคนทำความผิด หลบหนีอาญาแผ่นดิน

๒.เป็นคนหลบหนีราชการ

๓.เป็นคนต้องหาในคดีอาญา

๔.เป็นคนเคยถูกตัดสินจำคุกฐานเป็นผู้ร้ายสำคัญ

๕.เป็นคนถูกห้ามอุปสมบทเด็ดขาดทางพระศาสนา

๖.เป็นคนมีโรคติดต่ออันน่ารังเกียจ เช่นวัณโรคในระยะอันตราย

๗.เป็นคนมีอวัยวะพิการจนไม่สามารถปฏิบัติกิจพระศาสนาได้

สิ่งต่าง ๆ ข้างต้นจะมีเขียนถามไว้ในใบสมัครขอบวชซึ่งต้องไปเขียนที่วัดนั้นๆ

การบวชในพระพุทธศาสนา คืออะไร ?  ทำไมต้องเป็นนาคก่อนบวชพระ..?แหล่งภาพจาก Music Jinn

พระภิกษุต้องถือศีล ๒๒๗ ข้ออันได้แก่

ศีล ๒๒๗ ข้อที่เป็นวินัยของสงฆ์ ทำผิดถือว่าเป็นอาบัติ สามารถแบ่งออกได้เป็นลำดับขั้น ตั้งแต่ขั้นรุนแรงจนกระทั่งเบาที่สุดได้ดังนี้ ได้แก่

ปาราชิก มี ๔ ข้อ

สังฆาทิเสส มี ๑๓ ข้อ

อนิยต มี ๒ ข้อ (อาบัติที่ไม่แน่ว่าจะปรับข้อไหน)

นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ ข้อ (อาบัติที่ต้องสละสิ่งของว่าด้วยเรื่องจีวร ไหม บาตร อย่างละ ๑๐ข้อ)

ปาจิตตีย์ มี ๙๒ ข้อ (ว่าด้วยอาบัติที่ไม่ต้องสละสิ่งของ)

ปาฏิเทสนียะ มี ๔ ข้อ (ว่าด้วยอาบัติที่พึงแสดงคืน)

เสขิยะ (ข้อที่ภิกษุพึงศึกษาเรื่องมารยาท) แบ่งเป็น

สารูปมี ๒๖ ข้อ (ความเหมาะสมในการเป็นสมณะ)

โภชนปฏิสังยุตต์ มี ๓๐ ข้อ (ว่าด้วยการฉันอาหาร)

ธัมมเทสนาปฏิสังยุตต์ มี ๑๖ ข้อ (ว่าด้วยการแสดงธรรม)

ปกิณสถะ มี ๓ ข้อ (เบ็ดเตล็ด)

อธิกรณสมถะ มี ๗ ข้อ (ธรรมสำหรับระงับอธิกรณ์)

รวมทั้งหมดแล้ว ๒๒๗ ข้อ ผิดข้อใดข้อหนึ่งถือว่าต้องอาบัติ การแสดงอาบัติสามารถกล่าวกับพระภิฏษุรูปอื่นเพื่อเป็นการแสดงตนต่อความผิดได้ แต่ถ้าถึงขั้นปาราชิกก็ต้องสึกอย่างเดียว

 

ที่มา: http://www.mcu.ac.th/site/articlecontent_desc.php?article_id=608&articlegroup_id=121

แชร์