วัดพระธรรมกายที่ผมรู้จัก อะไรที่ทำให้ผมเปลี่ยนใจ ศ. ดร. สมภาร พรมทา ภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
วัดพระธรรมกายที่ผมรู้จัก..อะไรที่ทำให้ผมต้องเปลี่ยนใจ รศ. ดร. สมภาร พรมทา ภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย http://winne.ws/n3840
ผมเข้ามาในวัดพระธรรมกายเมื่อราว 4-5 ปีที่แล้ว อันเป็นช่วงเวลาที่วัดกำลังเป็นข่าวทางสื่อมวลชน การเข้ามานั้นก็ด้วยกิจทางการศึกษา คือมาถวายความรู้แด่พระคุณเจ้าในทางวิชาการ เรื่องของเรื่องนั้นมีอยู่ว่า วัดได้ดำเนินการจัดการศึกษาแบบใหม่ที่เรียกว่าแบบมหาวิทยาลัย เพื่อให้พระคุณเจ้าในวัดได้ศึกษา
นอกจากการศึกษาในแผนนี้ วัดพระธรรมกายยังดำเนินการศึกษาด้านพระบาลีและนักธรรมอย่างเข้มข้นจนเวลานี้ทางวัดถือได้ว่า เป็นสำนักเรียนพระปริยัติธรรมสายบาลี ที่มีสถิติผู้เรียนและผู้สอบผ่านสนามหลวงมากที่สุด โดยน่าจะเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ เมื่อรวมสองแผนกนี้เข้าด้วยกัน เราจึงอาจกล่าวได้ว่า วัดพระธรรมกายเป็นวัดไทยที่น่าจะมีระบบการศึกษาที่เข้มแข็งมากที่สุดในระดับต้นๆ ของประเทศ ผมเข้าใจว่าข้อมูลด้านการศึกษาของวัดนี้ คนข้างนอกส่วนใหญ่คงไม่ค่อยรู้จัก คนมักจะรู้จักวัดผ่านกิจกรรม อันเนื่องด้วยการในเชิงวิชาการ อย่างที่นิยมกระทำกันอยู่ทั่วโลกในสถาบันการศึกษาชั้นสูงที่เรียกว่ามหาวิทยาลัย การเรียนพระพุทธศาสนาแบบนี้ต่างจากการเรียนตามจารีตที่เรากระทำกันอยู่ ตรงที่มีวิชาที่ไม่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาให้เรียนรู้ด้วย เพื่อให้การวิเคราะห์วิจารณ์หลักธรรมในพระพุทธศาสนาดำเนินไปอย่างกว้างขวาง ละเอียดลออ ทั้งนี้ก็เพื่อให้การเผยแผ่พระพุทธศาสนามีประสิทธิภาพที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
เมื่อผมได้มาภายในวัด แม้จะไม่ใช่คนใน แต่ช่วงเวลา 3-4 ปีที่ได้มารู้จักวัดนั้น ทำให้ผมเข้าใจอะไรไปมากทีเดียว วัดพระธรรมกายนั้นเป็นวัดใหญ่ เป็นองค์กรที่ซับซ้อนเพราะมีบุคลากรและระบบการบริหารงานหลายอย่างหลายขั้นตอน ถือว่าเป็นองค์กรทางพระพุทธศาสนาสมัยใหม่ที่น่าศึกษา น่าทำความเข้าใจมากแห่งหนึ่งในโลก เมื่อทางวัดให้เกียรติด้วยการเชิญมาถวายความรู้พระ ผมก็รับด้วยความเต็มใจ เพราะนอกจากเห็นว่าเป็นการทำบุญอย่างหนึ่ง ก็ถือเป็นโอกาสสำคัญที่ผมจะได้เรียนรู้และเข้าใจวัด ซึ่งเป็นที่จับตามองของมหาชนอยู่เวลานี้ด้วยเสียมากกว่า ซึ่งกิจกรรมส่วนนี้เองที่มีทั้งคนมองอย่างเห็นด้วย และไม่เห็นด้วย ซึ่งตามความเห็นของผม ทั้งสองฝ่ายนี้ไม่มีใครผิดใครถูก เพียงแต่เรามองเรื่องการทำบุญด้วยกรอบความคิดที่ต่างกันเท่านั้นเอง
เนื่องจากผมรู้จักวัดพระธรรมกายทางด้านการศึกษาเท่านั้น จึงจะขอพูดเพียงด้านนี้ ผมนั้นเคยบวชเรียนมาก่อน รู้ว่าการเป็นสามเณรบ้านนอก กว่าจะเข้ามาอาศัยวัดในกรุงเทพฯ ได้ เป็นเรื่องยากลำบากเพียงใดผมอยู่วัดมหาธาตุฯ แถวท่าพระจันทร์ เมื่อแรกที่มาอยู่ใหม่ ๆ เคยออกบิณฑบาตอยู่ราวเดือนหนึ่ง ที่สุดก็ต้องเลิก เพราะต้องเดินกลับวัดพร้อมบาตรที่ว่างเปล่าทุกวัน โชคดีที่คณะที่ผมอยู่มีญาติโยมมาถวายอาหารเพลพระอยู่เป็นประจำ จึงได้อาศัยฉันเพลกับทางคณะ ซึ่งบางวันก็ไม่พอที่จะอิ่ม การเรียนหนังสือภายใต้ภาวะที่อดอยากเช่นนี้ เป็นเรื่องที่ทรมาน แต่ที่สุดผมก็กัดฟันเรียนมาจนจบมหาวิทยาลัยสงฆ์และเปรียญธรรม 8 ประโยค
ผมมาเห็นวัดพระธรรมกายดูแลสามเณรบ้านนอกจำนวนหลายร้อย ไม่ให้ต้องอดอยากอย่างที่ผมเคยประสบ แล้วก็อดดีใจแทนท่านเหล่านั้นไม่ได้ ผมทราบจากเจ้าหน้าที่ในวัดเล่าให้ฟังว่าเจ้าอาวาสท่านเป็นห่วงสามเณรเหล่านี้มาก กำชับให้ผู้ที่เกี่ยวข้องดูแลให้ดี คือ ให้ท่านเหล่านี้หมดห่วงเรื่องทางกาย ให้เรียนหนังสือและเจริญจิตภาวนาอย่างเดียว ผมยังนึกด้วยซ้ำว่าถ้าผมได้มาอยู่ที่วัดพระธรรมกาย ได้เรียนหนังสืออย่างที่อยากจะเรียน ไม่ต้องเรียนไปอดไปอย่างที่ประสบ ความทรงจำในอดีตเกี่ยวกับชีวิตสามเณรของผมคงดีกว่านี้
คนจำนวนมากอาจไม่ชอบวัดพระธรรมกาย เรื่องนี้สำหรับผมคิดว่าเป็นเรื่องดี ที่คนเหล่านั้นไม่ชอบ ทางวัดเองก็น่าจะทราบ โดยสังเกตจากสื่อ เช่น หนังสือพิมพ์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง สื่ออินเทอร์เน็ต ในเว็บบอร์ดที่มีชื่อเสียง เช่น PANTIP นั้น เราจะหาอ่านข้อความที่แสดงความไม่เห็นด้วยกับทางวัดได้มาก และบางความคิดผมคิดว่า ทางวัดน่าจะได้ประโยชน์ในแง่ที่จะเรียนรู้ว่า คนอื่นที่เขาวิจารย์วัดอย่างมีเหตุผลนั้น เขาคิดอย่างไร แต่ผมเริ่มสังเกตเห็นว่า เมื่อข้อมูลเรื่องวัดได้จัดการศึกษาอย่างแข็งขันเริ่มเป็นที่รับรู้ของผู้คน ภาพพจน์ของวัดน่าจะค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ แม้จะยังมีผู้คลางแคลงใจว่า ที่วัดจัดการศึกษาให้แก่พระเณรเช่นนั้น จัดอย่างบริสุทธิ์ใจหรือไม่ก็ตาม
ผมเรียนปรัชญา ทราบว่าการเปลี่ยนความคิดคนเป็นเรื่องยากที่สุดในโลก และคนที่เปลี่ยนความคิดยากที่สุดพวกหนึ่งเท่าที่ปรากฎในประวัติศาสตร์ก็คือ นักวิทยาศาสตร์ เมื่อมีการเสนอความคิดใหม่ในทางวิทยาศาสตร์ความคิดนั้นมักไม่เป็นที่ยอมรับของพวกนักวิทยาศาสตร์รุ่นเก่าๆ ต้องรอให้คนรุ่นนี้ตายหมด ความคิดใหม่จึงจะเป็นที่ยอมรับ ตัวอย่างนี้ผมคิดว่าวัดพระธรรมกายอาจใช้เป็นอนุสติ โดยบอกว่า อาจต้องใช้เวลามากพอสมควรที่จะให้ความเข้าใจเกี่ยวกับวัดเป็นไปในทางบวก แต่การรอเวลาอย่างเดียวก็คงไม่เกิดผล ความคิดดีๆ ในทางวิทยาศาสตร์ที่เกิดขึ้นใหม่นั้น ส่วนหนึ่งเป็นที่ยอมรับของคนรุ่นต่อมา เพราะความคิดนั้นได้รับการพิสูจน์มาพอสมควรว่าเป็นความคิดที่ดี มีประโยชน์ และมีเหตุมีผล
การเรียนหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาไม่ว่าจะแบบดั้งเดิมหรือแบบใหม่นั้น สำหรับผมคือหัวใจของการรักษาพระพุทธศาสนา เรื่องนี้ไม่มีใครอาจปฎิเสธได้ ถ้าเราตั้งต้นที่จุดนี้แล้วพิจารณาว่า เวลานี้วัดพระธรรมกายคือสำนักเรียนที่แข็งขันในอันดับต้นๆ ของประเทศ (ซึ่งก็คือของโลกนั่นเอง เพราะการเรียนคำสอนพระพุทธศาสนาแบบนี้ มีอยู่อย่างแข็งขันก็เฉพาะในไทย สำหรับพม่าและลังกานั้น สมัยก่อนเคยทัดเทียมเรา แต่เวลานี้ก็อ่อนลงไปมากแล้ว ) ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ชอบ วัดพระธรรมกาย เราคงไม่อาจปฎิเสธได้ว่า สิ่งที่วัดกำลังทำอยู่เวลานี้ เป็นประโยชน์โดยตรงสำหรับพระพุทธศาสนา และเป็นประโยชน์ในระดับที่สำคัญยิ่งยวดด้วย
ผมทราบมาว่า เวลานี้วัดกำลังจัดทำโครงการที่จะขยายการศึกษาของวัดให้แผ่ออกไปอย่างกว้างขวางและเป็นระบบ กำลังมีการจัดสร้างโรงเรียนแห่งใหม่ ณ สถานที่แห่งหนึ่งในต่างจังหวัด โดยจะให้ที่นั่นเป็นศูนย์กลางการศึกษาของวัดอย่างเต็มที่และเต็มรูปแบบ ซึ่งก็แปลว่า ต่อไปพระเณรในวัดอื่น ๆ ก็จะมีโอกาสได้เข้ามาเรียนด้วย มีคนวิจารณ์ว่า วัดพระธรรมกายชอบคิดใหญ่ ทำใหญ่ ผมคิดว่าการคิดใหญ่ทำใหญ่ทางการศึกษา เช่นนี้ แทบจะหาข้อตำหนิไม่ได้เลย
มหาวิทยาลัยนาลันทในปัจจุบัน
ในอดีตเราเคยมีมหาวิทยาลัยนาลันทา ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยทางพระพุทธศาสนาที่ดีที่สุด มีพระภิกษุและสามเณรอยู่ประจำ จำนวนเป็นหมื่นๆ สถาบันการศึกษาทางพระพุทธศาสนาที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้ ผมคิดว่าสมัยนี้น่าจะมีวัดพระธรรมกายนี่แหละ ที่จะสร้างขึ้นมาใหม่ได้ เวลานี้เรามีมหาวิทยาลัยสงฆ์ 2 แห่ง คือ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย กับ มหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัยเป็นเสาหลักให้ ต่อไปก็คงมีวัดพระธรรมกาย ที่จะช่วยเป็นเสาที่ 3 ในการค้ำยันพระพุทธศาสนาให้คงอยู่คู่โลกต่อไป
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
ผมยังคิดด้วยว่า ในอนาคตหาก 3 สถาบันนี้ร่วมมือร่วมใจกัน อะไรจะเกิดขึ้น ท่านผู้อ่านน่าจะจินตนาการออกอาจเป็นไปได้ที่เราจะทำคุณประโยชน์ต่อโลก ได้มากกว่ามหาวิทยาลัยนาลันทาที่เลื่องลือนั้น ที่กล่าวมานี้ไม่ได้แปลว่า ผมคิดว่า วัดพระธรรมกาย ดีกว่าวัดอื่น ผมเพียงแต่บอกว่า เราควรมองไปที่ใด ในวัดพระธรรมกาย ความร้อนรุ่มที่อยู่ในใจเพราะไม่ชอบวัดจะลดลงได้บ้าง ผมนั้น ไปทุกวัด เช่น วัดสวนแก้วของท่านเจ้าคุณพยอม สำนักสันติอโศก ของท่านสมณะโพธิรักษ์ ท่านเจ้าคุณพรหมคุณาภรณ์ ( ประยุทธ์ ปยุตฺโต ) ที่แต่งหนังสือ " กรณีธรรมกาย " และ " กรณีสันติอโศก " แม้ผมไม่เคยไปกราบท่านถึงวัด แต่ก็เป็นผู้ที่ผมเคารพนับถือมากที่สุดท่านหนึ่ง
มหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัย
การเป็นชาวพุทธสำหรับผมนั้น น่าจะมีคุณสมบัติพื้นฐานอย่างหนึ่งคือ เข้าวัดไหนก็ได้ แล้วมองแต่สิ่งที่ดีมาใช้ ถ้าคิดอย่างนี้ได้ คนที่ไม่เคยมาวัดพระธรรมกายก็น่าจะลองมาดูบ้าง หรือผู้ที่มาอยู่แล้วก็น่าจะลองหาโอกาสไปวัดอื่นๆ บ้าง หากไปทางกายไม่ได้ ก็อาจไปทางใจ คือมองสำนักที่ต่างไปจากสำนัก ตนอย่างมีเมตตา อย่างพยายามที่จะเข้าใจ และฟังอะไรอย่างฟังหูไว้หู ไม่วู่วามไปตามกระแสของสื่อ หรือของคนหมู่มาก ทำได้อย่างนี้ เราชาวพุทธคงจะเป็นกลุ่มคนที่มีความสุขสงบใจมากกว่าใครในโลก
มีสิ่งหนึ่งที่ผมอยากกล่าวเป็นการปิดท้ายข้อเขียนนี้คือ ผมสังเกตเห็นว่า วัดพระธรรมกาย มีอะไรบางอย่างที่ผมไม่ค่อยพบที่อื่น สิ่งนี้คือความน่ารักของเจ้าหน้าที่ประจำ ที่ทำงานเต็มเวลาให้แก่วัดโดยได้รับค่าตอบแทนน้อยมาก เจ้าหน้าที่เหล่านี้ที่ผมรู้จักมักจะเป็นอุบาสิกาหรือไม่ที่กิริยามารยาทงดงาม ไม่ถือตัว อ่อนน้อม และเวลาได้พูดคุยด้วยเราจะรู้สึกเป็นสุข ผมถือว่าท่านเหล่านี้น่ารักอย่างนั้นก็ต้องเพราะวัดอบรมมาดี บางท่านที่ไม่ชอบวัดเป็นทุนอาจแย้งผมว่า คนเหล่านี้กำลังจัดฉากอยู่หรือเปล่า ผมไม่เชื่อว่าใครจะจัดฉาก ได้ยาวนานและแนบเนียนอะไรปานนั้น คนเราหากได้อยู่ใกล้ชิดกัน ได้คุยกัน ดวงตาจะบอกได้ว่าเขาเสแสร้ง
สำหรับพระคุณเจ้าที่นี่ในส่วนที่ผมรู้จักนั้น เนื่องจากส่วนหนึ่งเป็นปัญญาชนก่อนที่จะมาบวช (ผมหมายความว่าท่านเคยเป็นนิสิตนักศึกษามาก่อน บางท่านอาจมาบวชทั้งที่ยังเรียนไม่จบด้วยซ้ำ เพราะเห็นว่าทางธรรมประเสริฐกว่าทางโลก) ส่วนใหญ่จึงฉลาด พระที่ฉลาดเช่นนี้ต่อไปคงเป็นอนาคตของพระศาสนาได้มาก คนหนุ่มๆ ที่เอาชีวิตในวัยหนุ่มมาอุทิศให้พระศาสนานั้น ย่อมเป็นผู้ที่เราเคารพได้ในเบื้องต้นว่า ช่างมีใจที่เด็ดเดี่ยวอะไรเช่นนั้น ต่อไปเมื่อท่านเหล่านี้ ผ่านการเจียระไนโดยระบบการศึกษาและจิตภาวนาที่เหมาะสม ก็จะเป็นเพรชในทางปัญญาแก่สังคมไทยซึ่งไม่ใช่เพียงเม็ดสองเม็ด แต่เป็นร้อย เป็นพัน หรือหมื่น
วัฒนธรรมอีกอย่างหนึ่งของชาววัดพระธรรมกาย คือความให้เกียรติกัน อุบาสิกาที่เป็นเจ้าหน้าที่ดูแลงานด้านต่าง ๆ ของวัดนั้น ผมเห็นว่าได้รับการปฎิบัติโดยพระภิกษุภายในวัดอย่างให้เกียรติ จริงว่าโดยเพศ อุบาสิกาต้องถือว่ามีสถานะที่ต่ำกว่าพระเณร แต่เรื่องนี้เป็นคนละเรื่องกับการให้เกียรติ ผมเห็นพระที่อ่อนวัยกว่า เรียกอุบาสิกาที่เป็นเจ้าหน้าที่ที่วัยมากกว่า ว่า " โยมพี่ " คำนี้สำหรับผมเป็นคำที่ไพเราะเหลือเกินเป็นการเรียกอย่างคนในครอบครัวอย่างให้เกียรติ ถ้าผมมีพี่สาวที่ดี แม้ผมบวชแล้วผมก็คงนับถือพี่สาวของผมต่อไปได้ พระพุทธศาสนาเถรวาทเรานั้นมีคนวิจารณ์ ว่าไม่ค่อยให้เกียรติผู้หญิง บวชชีแล้วก็ต้องมาเป็นคนรับใช้พระ ข้อวิจารณ์นี้คงใช้ไม่ได้กับ วัดพระธรรมกาย เพราะเป็นที่ทราบว่า บุคคลหนึ่งที่ทางวัดนับถือว่าเป็นปูชนียบุคคลก็คือ ท่านคุณยายจันทร์ ขนนกยูง ซึ่งเป็นเพียงอุบาสิกาเท่านั้น
ที่กล่าวถึงเรื่องวัฒนธรรมของชาววัดพระธรรมกายก็เพราะ ผมคิดว่านี่น่าจะเป็นวัฒนธรรมแบบพุทธที่เคยมีมาแต่สมัยพุทธกาลแล้วอุบาสิกาอย่างนางวิสาขานั้น เป็นผู้ที่พระเณรให้เกียรติ พระวินัยหลายข้อเกิดขึ้นเพราะอุบาสิกาท่านนี้เป็นห่วงเป็นใยพระสงฆ์ ถ้าเรามีวัฒนธรรมในการให้เกียรติกันเช่นนี้ พระพุทธศาสนาในบ้านเราคงจะไปได้กว้างไกลมากกว่านี้ เวลาที่ชาวต่างชาติมาเยี่ยมชมวัดเราแล้วเห็นหลวงพี่หลวงตาจิกเรียกอุบาสกอุบาสิกา หรือเด็กวัดอย่างเต็มไปด้วยทิฎฐิมานะ เขาก็คงไม่สู้จะประทับใจในพระพุทธศาสนาเท่าใดนักกระมัง
อ้างอิง:หนังสืออะไรที่ทำให้ต้องเปลี่ยนใจอะไรที่ทำให้ต้องเปลี่ยนใจ เล่ม 1 เรื่องที่ 5
ที่มา www.dmc.tv
ขอบคุณภาพจากwww.google.com