ตอบชัดทุกคำถามกับ 12 ประเด็นเด็ด กรณีพระธัมมชโย โดยอาจารย์ปรเมศวร์ อินทรชุมนุม รองอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญา 

1. คดีของพระธัมมชโยจะดำเนินไปเป็นอย่างไร กับสถานการณ์ที่ดูเหมือนจะซับซ้อนขึ้นไปทุกวัน

อาจารย์ปรเมศวร์ : ความเห็นของผมต้องเข้าใจโครงสร้างของกฎหมายเวลาเราดำเนินคดีอาญากับใคร หลักกฎหมายมีอยู่ว่า ต้องสอบสวนโดยอาศัย วิ.อาญามาตรา 130 

ประการที่2 ปรัชญาทางด้านกฎหมาย คือต้องฟังความทั้งสองฝ่าย ทั้งฝ่ายกล่าวหาและผู้ถูกกล่าวหา ยิ่งผู้ถูกกล่าวหา จะลงโทษใครซักใครต้องฟังเค้าก่อน นี้คือหลักการ 

ต่อไปเมื่อสอบสวนเสร็จ ได้ความว่าคดีมีมูล น่าเชื่อว่ามีการกระทำความผิด สมมุติว่าท่านธัมมชโยมีส่วนในการกระทำความผิดถ้าหน้าเชื่อ สิ่งต่อมาคือ สอบถามปากคำผู้ต้องหาถ้าตกเป็นผู้ต้องหา การสอบถามปากคำมีทางเลือกสองทาง

ทางแรก ถ้าผู้ต้องหามีความรุนแรงก้าวร้าวหรือมีความมีปัญหา เชื่อว่าจะหลบหนี ถ้าเป็นไปอย่างนี้ต้องดำเนินการจับ ซึ่งการจับต้องมีหมายจับ ถ้าเป็นบุคคลที่ถึงขนาดจะหลบหนีก็ทำการเชิญไป จะมาไหม ไม่มาก็ออกหมายจับ ประเด็นมันเป็นอย่างนี้ ซึ่งในการสอบสวนผู้ต้องหากฎหมายเขียนไว้ในวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 134

 ซึ่งมีข้อสังสัยอยู่ว่า "ทำไมกรณีคุณศุภชัยไปแจ้งในเรือนจำได้ แล้วในกรณีของพระธัมมชโยจึงแจ้งในวัดไม่ได้ ตรงนี้ใครจะตอบ?

  "  เวลาสอบสวนแล้วแต่จะที่ไหน เวลาใด แล้วแต่จะเห็นสมควร เป็นอำนาจพนักงานสอบสวน"

เมื่อพระธัมมชโยป่วยก็เพียงเข้าไปดูถ้าแจ้งข้อกล่าวหาไม่ได้เพราะป่วยก็รอไปก่อน

ถ้าแจ้งข้อกล่าวหาได้ท่านมีสติอยู่บ้างก็แจ้งข้อกล่าวหา รับทราบข้อกล่าวหาให้คนที่รู้ใจ ให้ทนายความนั่งฟังอยู่ มันเป็นการสอบสวนที่ชอบ ถูกหรือไม่ สอบสวนเสร็จก็จบแล้ว เมื่อไหร่ไปให้การ ให้การเป็นลายลักษณ์อักษร หรือจะให้การด้วยวาจา ถ้าให้การด้วยวาจาได้ก็ให้  ถ้าให้ไม่ได้ก็ค่อยเป็นลายลักษณ์อักษร

 2. มีคำถามว่าขั้นตอนที่กล่าวมานี้ มันเป็นขั้นตอนก่อนออกหมายจับหรือไม่?

 อาจารย์ปรเมษณ์ : จะมีหมายจับหรือไม่มีหมายจับ ค่าเท่ากัน ถ้าอยากจะจับ วัดเป็นที่สาธารณะ สามารถเข้าได้แต่กุฏินี่เป็นที่รโหฐานเข้าไปไม่ได้ ต้องมีหมายค้น ต้องมีพร้อมกันทั้งหมายค้นและหมายจับ ถ้าเข้าไปจับในกุฏิ คำถามเราตอบคำถามชาวบ้านไม่ได้ผมสอนหนังสือผมก็ตอบคำถามเด็กไม่ได้ เอ๊ะทำไมมีหมายจับแล้วไม่ขอหมายค้นมาด้วยล่ะมีคนนินทาว่าไอ้การขอหมายจับก็แค่ขู่เฉยๆ ถ้าไม่มาจะจับนะ อ้าว!! ถ้าตั้งใจจะจับก็ขอหมายค้นมาเลยสิ มีหมายค้น หมายจับแล้วก็เข้าไปเลย ก็ทำได้

3. ทำไมดีเอสไอถึงไม่เอามาพร้อมกันทั้งหมายค้นทั้งหมายจับ?

  อาจารย์ปรเมษณ์ :  โอ้ ไม่แน่ใจ แล้วแต่ความรู้ของเขาล่ะ  พูดอย่างนั้นดีกว่า เขาคิดยังไงล่ะ ความจริงนี่แจ้งข้อกล่าวหาไปแจ้งเสร็จ แล้วเขาจะให้การเมื่อไหร่ก็ได้ ซึ่งปกติดีเอสไอเนี่ยเขาจะเรียกคนมาแจ้งข้อกล่าวหาที่ทำการก็เป็นอย่างนั้นของเขาปฏิบัติอย่างงั้นถูก ก็ไม่ได้ว่าอะไร

(เอ้าถ้างั้นหลักนี้ก็เป็นหลักเดียวกัน) หลักเดียวกันน่ะ จะไปแจ้งที่วัดก็แจ้งได้ ก็ 130 วิ เขียนไว้ว่าจะสอบสวนที่ไหนก็ได้ การแจ้งข้อกล่าวหาคือส่วนหนึ่งของกระบวนการสอบสวน ก็ไปแจ้งสิ แล้วถ้าเขาให้การเสร็จปุ๊บใช่ไหม สมมุติเขาให้การเป็นลายลักษณ์อักษรหรือให้การด้วยวาจา ดีเอสไอก็สรุปสำนวนส่งให้พนักงานอัยการมีคำสั่งได้

4. ดีเอสไอจะเข้าไปวัดพระธรรมกายได้อย่างไร เมื่อญาติโยมเต็มไปหมดเป็นหมื่นๆ เหมือนมาเป็นโล่มนุษย์

อาจารย์ปรเมษณ์ :   เอาล่ะ ทีนี้หลักปรัชญาการดำเนินคดีอาญา คดีอาญาวิธีพิจารณาความอาญาเพื่อการรักษาความสงบเรียบร้อย คุณทำยังไงการดำเนินคดีไปแล้วเกิดความไม่สงบเรียบร้อยเหตุผลมันมีตัวเดียว ผมไม่โทษชาวบ้านนะเพราะความรู้ชาวบ้านเขามีแค่นั้น คุณไปบอกว่า ไม่มาทีนี้ออกหมายจับ ครั้งแรกไปขอออกหมายจับศาลยก ครั้งที่สองพยายามขอใหม่ เอ้าศาลให้ละเที่ยวนี้ คือไปถึงขั้นตอน ตอนนั้นพอบอกหมายจับเนี่ยชาวบ้านอย่าง คือชาวบ้านทั่วไป เขาเข้าใจคำว่าจับก็คือจับใส่กุญแจเอาไปขัง  แต่คำว่าจับในภาษากฎหมายไม่ได้บอกอย่างนั้น มาตรา 83 ก็บอกว่าเวลาจะจับใครเจ้าพนักงาน หรือราษฎร์จะจับใครต้องแจ้งให้ทราบ แจ้งให้ผู้ถูกจับทราบว่าเขาต้องถูกจับแล้วให้ไปยังที่ทำการพนักงานฝ่ายปกครองหรือพนักงานฝ่ายสอบสวน ถ้าขัดขืนให้จับตัวไปเห็นไหมครับในกฎหมายมีการจับ 2 คำ จับคำแรก กับจับคำที่ 2  คำที่ 2 บอกจับตัว

สำหรับจับคำแรก  ขอยกตัวอย่าง ขออนุญาตไปเอ่ยถึงท่านซักท่านหนึ่งคืออดีตนายกรัฐมนตรีท่านยิ่งลักษณ์ ตอนนี้ถูกดำเนินคดีจำนำข้าวใช่ไหมนั่นท่านยังถูกจับอยู่นะ แค่ท่านไปต่างประเทศไม่ได้ การจับคือการเคลื่อนไหวร่างกายของคุณอยู่ในการควบคุมของรัฐ  อันนี้คือความหมายหนึ่ง ความหมายตามวิอาญาเลยว่าการควบคุมของรัฐ การกำจัดเสรีภาพ

แต่ประการที่2  คือ การควบคุมนั่นเอาไปขัง ในกฎหมายวิ.อาญาอธิบายต่อไปมาตราที่คนไม่อ่านนักกฎหมายไม่อ่านคือมาตรา136 ในระหว่างสอบสวนพนักงานสอบสวน จะจับหรือจะควบคุมหรือจะปล่อยตัวชั่วคราวก็เป็นดุลพินิจ ถามกฎหมายเขาเขียนอย่างนี้ทำไม การดำเนินคดีไปต้องเป็นไปโดยความสงบเรียบร้อย ไม่ใช่ใช้กำลังปะทะ กฎหมายไม่ได้สอนให้ใช้กำลังอย่างนั้น 

" จะจับใครต้องดู หนึ่งเชื่อว่าเขาจะไม่ได้ตัวมาดำเนินคดี คือหลบหนี"

ประการที่สอง คือจับมาควบคุมในห้องขังต้องเชื่อว่าเขาจะไปเปลี่ยนแปลงพยานหลักฐานหรือไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน

หลักวิ.อาญามันต้องแม่นปรัชญามันต้องถูกแล้วมันถึงจะดำเนิน นี่พอยิ่งดำเนินคดีไปแล้วมันยิ่งบานปลายแต่แทนที่จะดำเนินคดีไปเรื่อยๆ นี่ครับ ไม่ต้องไปรีบ อย่างท่านรองนายกบอก 

“คดีธรรมดา ผมก็ว่ามันเป็นคดีธรรมดา กับพระภิกษุองค์หนึ่งแต่ตอนนี้เรากำลังจะทำให้พระภิกษุองค์หนึ่งเนี่ยนะกลายเป็นอาชญากรระดับประเทศระดับโลกเข้าไปทุกวันแล้ว”

5. ถ้าอีกมุมหนึ่งถ้าหลวงพ่อธัมมชโยท่านมอบตัวเลย แล้วสู้กันในศาลเลยได้ไหม?

อาจารย์ปรเมษณ์ : ได้ก็ได้ ถ้าไม่ป่วยก็ต้องออกมาสู้กัน หากว่าป่วยก็เข้าไปดูพนักงานสอบสวนก็ตามเข้าไปดูได้ว่าป่วยหรือไม่ป่วย ถ้าไม่ป่วยแจ้งข้อหาได้ไหม แจ้งข้อหาได้ก็ดำเนินการต่อไป ถ้าแจ้งข้อหาไม่ได้ก็ต้องรอไว้ก่อน

6. มีข้อกังขาว่าพนักงานสอบสวนไม่สามารถเข้าไปถึงห้องพักของท่านได้เลยจริงไม่?

อาจารย์ปรเมษณ์ : คือเท่าที่ผมทราบ เห็นทนายของท่านธัมมชโยบอกให้เข้า แต่พนักงานสอบสวนก็ไม่ไป มันเหมือนกับมีการเล่นแง่ ตั้งแง่ตั้งมุมกัน ผมเห็นคดีเขาทำกัน เขาก็แจ้งข้อกล่าวหากันตามปกติ ตามหลักนี้ดีเอสไอต้องเข้าไปดูด้วยตัวเอง เอาหมอไป เอาหมอไปแล้วตรวจว่าป่วยจริงหรือไม่

 7.  วันก่อนที่ดีเอสไอไปที่โรงพักใช่ไหม ก็เตรียมหมอไปเตรียมรถพยาบาลไป แต่พอหลวงพ่อไม่ได้ไป ดีเอสควรทำอย่างไร

    อาจารย์ปรเมษณ์ :  ไม่มาก็ตามเข้าไปสิ (ตามเข้าไปที่วัด)คือทำคดีให้มันธรรมดา ก็ตามเข้าไปเหมือนปกตินี่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถ้ายอมตามเข้าไปซะหน่อย

“วันนี้นะถ้าเป็นไปได้ มานั่งคุยกันให้ชัด ท่านอธิบดีดีเอสไอ ท่านรัฐมนตรีก็มาคุยกันให้ชัด อยากแจ้งข้อกล่าวหาแล้ว ถ้าให้การเสร็จแล้วจะได้ส่งสำนวนให้อัยการคดีพิเศษเขาพิจารณาก็ว่ากันไป คุยกันเถอะไม่ต้องไปใช้กำลังอะไรมันเสียเวลา”

8. เวลากระบวนการในการดำเนินการกับคนป่วย สมมุติฝั่งผู้ต้องหาเขาอ้างว่าเขาป่วย ทีนี้ตามหลักการแล้วมันจะทำยังไง

    อาจารย์ปรเมษณ์ :   ก็ต้องดูคือถ้าสมมุติถ้าเข้าไปจับแล้วถ้าเขาป่วย เขาก็มีสิทธิ์ที่จะรักษาพยาบาลก่อน วันนี้ผมบอกว่า ถ้าดูรายการกันจบแล้วนะครับ ดีเอสไอจะตั้งหลักใหม่มาประนีประนอมขอเข้าไปดูก่อนได้ไหม ไม่ต้องจับแล้ว แจ้งข้อกล่าวหาได้ก็แจ้งไปเลย

หมายจับออกก็หมายจับออกไปก็ไม่ได้ว่าอะไร ก็จับออกตั้งกี่วันแล้วทำไมไม่จับล่ะ ผมถามก่อนถ้าคุณบอกว่ามีหมายจับแล้วไม่ไปจับ ก็ละเว้นก็เท่ากับละเว้น ตั้งแต่วันที่ออกหมายจับแล้วละ ถูกไหม เออไอ้การออกหมายจับเนี่ย เราไม่ได้ว่ามีความจำเป็นต้องออก เพราะอัตราโทษจะเกินกว่า 3 ปีก็ออกหมายจับได้ ไม่ใช่จับไม่ได้แต่มันอาจจะไม่จำเป็นต้องจับใช่ไหม ก็ผมบอกแล้วไงมาตรา 136 ประมวลกฎหมายระหว่างสอบสวนผู้ต้องหาจะจับก็ได้จะควบคุมก็ได้ เป็นดุลพินิจ

9. ดีเอสไอกับท่านธัมมชโยควรจะคุยประนีประนอมกันไหม

อาจารย์ปรเมษณ์ :  ผมว่าน่าจะคุยกันระหว่างดีเอสไอกับท่านธัมมชโยหรือทนายท่านธัมมชโยก็เข้าไปพร้อมกันเราต้องมองอย่าก่อให้เกิดความวุ่นวายมากขึ้นกว่าเดิม  

"ผมไม่ได้รู้จักท่านธัมมชโย แล้วผมไม่ได้ทำคดีนี้ แต่สิ่งที่ผมพูดในหลักการของกฎหมายวันนี้บ้านเมืองเรานี่ไม่เคารพกฎหมายให้มันเดินได้ คดีมันหยุด วันนี้คดีมันไปไม่ได้เพราะไม่สอบสวนให้จบถ้าผู้ต้องหามีตัวอยู่ในประเทศ คุณก็ต้องสอบสวนถึงไม่เอาตัวส่งอัยการคุณก็ส่งสำนวนได้แต่ถ้ามีบางคนไปแนะนำบอกว่าไม่จำเป็นต้องสอบส่งสำนวนได้เลย ขอประทานโทษอัยการยังสั่งสำนวนไม่ได้

10. ดีเอสไอจะส่งฟ้องได้หรือไม่ หากยังไม่สอบหลวงพ่อธัมมชโย?

อาจารย์ปรเมษณ์ :  ไม่ได้ครับ พอสอบแล้ว ท่านจะให้การก็ได้ ไม่ให้การก็ได้สุดแท้แต่ท่าน ถ้าอาพาธยังให้การไม่ได้ก็รอ ไม่เป็นไรไม่รีบไปไหนคดีไม่ได้ขาดลูกความ

11. ดีเอสไอเกรงว่าพระธัมมชโยจะหลบหนีไหม?

อาจารย์ปรเมษณ์ : จะกลัวพระองค์เดียวหนีเหรอ นู่นเณรคำน่ะหนีน่าจะไปตามอันนั้นซะมากกว่า ถ้าวันนี้ถ้าท่านธัมมชโย หายไปจากวัด ธรรมกายก็ล่มสลายทันที ถ้าหนีศิษย์ธรรมกายนี่เป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถือ

“ผมติดใจตรงนี้เขาพูดว่า " เฮ้ย!! ทีศุภชัยอ่ะ คุณเข้าไปแจ้งข้อกล่าวหาเขาได้เลย ทำไมไม่ลากตัวเบิกตัวศุภชัยออกมาสอบสวนที่ดีเอสไอล่ะครับตอบคำถามนี้ได้ไหม"

“แม้อยู่ในเรือนจำก็เอาออกมาได้ขอศาลเบิกตัวมาง่ายกว่าท่านธัมมชโยไม่ต้องออกหมายจับขอศาลเบิกตัวแล้วเอาตัวมาสอบสวนที่ดีเอสไอ แต่ท่านเลือกกลับที่จะเข้าไปถามผู้ต้องขังผู้ต้องโทษที่ต้องโทษแล้ว 13 ปีในเรือนจำ”

12. ในกรณีนี้ควรประสานกับสมเด็จช่วงฯหรือไม่

อาจารย์ปรเมษณ์ :   อย่าไปเลอะเทอะ นี่เป็นเรื่องของการกระทำความผิด ถ้าเป็นเรื่องของการกระทำความผิด ก็เป็นเรื่องของท่านธัมมชโย อย่าไปดึงสมเด็จช่วงมาเกี่ยวเขาไม่ใช่ผู้บังคับบัญชาอะไร เขาเป็นสงฆ์ก็เรื่องของสงฆ์ เราเอาหลายเรื่องไปปนกันมันเหมือนมีอะไรซ่อนเร้นอยู่ แต่ถ้าทำกันตรงๆ เนี่ยจบ

 วันนี้ถ้าสอบสวนได้ โอเคสอบสวนไม่ได้ดีเอสไอก็ออกมาบอกแจ้งข้อกล่าวหาท่านยังไม่ได้เพราะท่านป่วย ท่านยังไม่ได้สติตามคำยืนยันของหมอ ถ้าหมอตรงที่ไปไม่เชื่อถือเอาหมอที่น่าเชื่อถือไป ศาลก็จะส่งหมออื่นไปดูป่วยจริงไม่จริง กระบวนการยุติธรรมมันต้องทำได้

 ผมเองอยากให้คดีมันเดิน แจ้งข้อกล่าวหาเสร็จแล้วคดีมันจะได้เดินตอนนี้คดีมันสะดุดอยู่ตรงแจ้งข้อกล่าวหาไม่ได้ แล้วในประมวลกฎหมายในวิธีพิจารณาความอาญาอำนาจพนักงานสอบสวนนี่มากเหลือเกินดุลพินิจสูงมาก

   คุณทำยังไงก็ได้ให้คดีไปถึงศาลนี่คือกระบวนสอบสวน ของผมกระบวนการฟ้องร้องถ้ามีหลักฐานพยานยืนยันว่าเขาผิดเราก็ฟ้องร้องฟ้องร้องเสร็จการพิสูจน์การมีผิดหรือบริสุทธิ์ก็อยู่ที่ศาล

  "ต้องไม่ลืมอยู่อันหนึ่งนะสิทธิตามรัฐธรรมนูญ เขาบอกว่าไม่มีรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันนี่มันก็ยังอ้างอิงรัฐธรรมนูญฉบับเดิมก็ยังพูดกันอยู่ชัดเจนว่า บุคคลทุกคนถูกสันนิฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาแล้ว เราปฏิบัติต่อเขาอย่างไร อันนี้คือหลักสำคัญ"

แหล่งของบทความ : รายการ เป็นเรื่อง เป็นข่าว PPTV  HD 36

http://goo.gl/JFMF2o