บันทึก “เสียงสวรรค์คนธรรพ์บรรเลง"
คืนวันพระวันหนึ่ง ในช่วง สวดมนต์ทำวัตรเย็นจบแล้ว รอบ ๆ บริเวณวัดเริ่มมืดสนิท มีเพียงแสง จากเทียนเล่มใหญ่ ที่จุดไว้หน้า โต๊ะหมู่บูชา การสวดมนต์ยังไม่จบลง มีการสวดบท “ชัยใหญ่“ ต่ออีก สายฝนเริ่มพรำน้อย ๆ โปรยปราย รอบ ๆ http://winne.ws/n4096
ภาพทะเลสาปเบื้องล่าง
มองลงไปจากศาลาวัดป่าที่อยู่บน ดอยสูง เขียวชอุ่มด้วยพรรณไม้ ช่างเป็นภาพที่งดงาม สงบร่มเย็น สมัยที่ยังรับราชการ ผู้เขียนและกลุ่มสหายธรรม จะหอบเต๊นท์มานอนวัดป่าในช่วง
วันหยุดสุดสัปดาห์ มาสวดมนต์ นั่งสมาธิ ฟังธรรมกัน เป็นการ พักผ่อนจิต ที่คุ้มค่ายิ่งนัก
คืนวันพระวันหนึ่ง ในช่วง สวดมนต์ทำวัตรเย็นจบแล้ว รอบ ๆ บริเวณวัดเริ่มมืดสนิท มีเพียงแสง จากเทียนเล่มใหญ่ ที่จุดไว้หน้า โต๊ะหมู่บูชา การสวดมนต์ยังไม่จบลง มีการสวดบท “ชัยใหญ่“ ต่ออีก สายฝนเริ่มพรำน้อย ๆ โปรยปราย รอบ ๆ บริเวณวัด เสียงหรีดหริ่งเรไร จากวัดป่าบนภูเขาเริ่มประชันเสียง แข่งกับเสียงสวดมนต์ของพระและโยม วันนั้น มีเพียงพวกเรากลุ่มเล็ก ๆ ประมาณ ๕ ชีวิต และพระ ๓ รูป สามเณร ๒ รูป เท่านั้น
ช่วงหนึ่ง หลังจากที่สวดมนต์ บท “ชัยใหญ่“ ได้ไปถึงช่วงกลาง ๆ ของบทสวด พลัน เสียงหรีดหริ่งเรไร ที่ร้องประชันกับเสียงสวดมนต์ก็เริ่ม แปรเปลี่ยนไป มีเสียงดนตรีบรรเลงดังคลอมาในสายลมแทรกระหว่างกลาง เสียงสวดมนต์และเสียงหริ่งเรไร เป็นเสียงที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน
บนโลกมนุษย์ คล้ายเสียงดนตรี คลาสสิคของวงออเคสตร้าระดับโลก เป็นเสียงผสานนุ่มลึก มีมิติที่ดัง ก้องกังวานมาทุกทิศทุกทาง แต่ก็ ไม่ดังกลบเสียงสวดมนต์ เป็น จังหวะมหัศจรรย์ที่คล้ายจะทำ เมโลดี้ให้กับบทสวดมนต์ “ชัยใหญ่“ โอ้.....นี่หูเราไม่ได้แว่วไปเองใช่ไหม เสียงดนตรีทิพย์นั่นยังดังสม่ำเสมอ ตามจังหวะการสวดมนต์ของ พวกเรา
เสียงดนตรีประหลาด ไม่คล้ายเสียงดนตรีที่ใดในโลก แม้ผู้เขียนจะเป็นนักฟังตัวยง ทั้งเพลงบรรเลง Classic ของคีตกวีระดับโลก เช่น Bach , Beethoven ,Mozart , Chopin , Vivaldi , Tchaikovsky ฯลฯ ล้วนเคยผ่านหูมาแล้วทั้งสิีน ฟิมโฟนี จะหมายเลขอะไร ก็ล้วนเคยเก็บเกี่ยวอรรถรส สุนทรียะทางดนตรีมาแล้ว รวมถึง ดนตรีพื้นเมือง เพลงไทยเดิม ก็เลยสัมผัสมา แต่ไม่มีท่วงทำนองใด จะเสนาะโสติ เท่าเสียงดนตรีทิพย์บนวัดป่า ในคืนนั้นได้เลย
พอสวดมนต์เสร็จ นั่งภาวนา ต่อประมาณครึ่งชั่วโมง เราก็ กราบลาพระรัตนตรัย เดินลงมาจากศาลาบนยอดเขา มาพัก ที่เรือนปฏบัติธรรมด้านล่าง พอพ้นเขตศาลา ทุกคนต่างก็ เอ่ยเกือบจะพร้อมๆกันว่า ได้ยิน เสียงดนตรีบ้างไหม สรุปว่า ทุกคนได้ยินเหมือนกัน หากจะมองว่า เป็นเสียงดนตรีจากบ้านของชาวบ้าน ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะว่า วัดป่าบนภูขาแห่งนี้ ห่างไกลบ้านเรือนของชาวบ้าน อีกทั้งมีทะเลสาป อยู่เบื้องล่าง มีน้ำตกอยู่ด้านบน วันดีคืนดีก็จะมีเสียงงูจงอางมาร้อง ดังก้องสนั่นป่า ที่นี่สงบเกินกว่า จะมีเสียงรบกวนอื่นๆแทรกเข้ามาได้ และเสียงดนตรีก็จบลงพร้อมเสียง สวดมนต์ “ชัยใหญ่“ จบลงพอดี ไม่มีขาดเกิน นี่ถ้ามาคนเดียวเล่าให้ใครฟังเขาคงว่า ไม่บ้า ก็เพี้ยน
รุ่งเช้า พวกเรากราบเรียนถาม หลวงปู่ ท่านก็ได้แต่ยิ้ม ๆ ไม่ตอบ พวกเราจึงพากันเรียกเสียงดนตรี ประหลาดนั้นว่า
“เสียงสวรรค์คนธรรพ์บรรเลง“
หลังจากนั้นมา การมาสวดมนต์ และอยู่บำเพ็ญภาวนาที่วัดป่า บนภูเขาของเรา ก็ไม่เคยได้สัมผัสเสียงดนตรีอันไพเราะ เสนาะโสติเช่นนั้นอีกเลย มีเพียงเสึยงหรีดหริ่งเรไร ตามธรรมชาติของป่าดอย แต่ความสงบ เยือกเย็นในหัวใจ ก็เป็นเสียงแห่งความเงียบ ที่ไพเราะที่สุด
“นัตถิ สันติ ปรมัง สุขัง“
cr.แมกไม้ชายคามหาวิทยาลัยสงฆ์ จบตอนที่ ๖๗
ขอบคุณภาพจาก www.google.com