นางกวัก..หล่อนชื่อจริงว่า"สุภาวดี"เเละมีตำนานเหตุทำให้ค้าขายดีดังนี้

2,500 กว่าปีแล้วที่นางสุภาวดีนั่งกวักมือเรียกลูกค้า จนพัฒนาขึ้นเป็นขยับมือกวักได้ ถ้านางไม่ขลังศักดิ์สิทธิ์จริงแล้ว คงไม่ได้นั่งกวักมาจนถึงทุกวันนี้ http://winne.ws/n8097

4.4 พัน ผู้เข้าชม
นางกวัก..หล่อนชื่อจริงว่า"สุภาวดี"เเละมีตำนานเหตุทำให้ค้าขายดีดังนี้ภาพจาก dhamma.mthai.com

          โดยนางกวักมีชื่อจริงว่า สุภาวดี มีบิดาชื่อ สุจิตพราหมณ์ ส่วนมารดาชื่อ สุมณฑา นางเป็นคนเมืองมัจฉิกาสัณฑ์ ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองสาวัตถี ครอบครัวของนางมีอาชีพทำมาค้าขาย ต่อมาสุจิตตพราหมณ์ผู้เป็นพ่อต้องการจะขยายกิจการ จึงไปซื้อเกวียนมา 1 เล่ม และสินค้าไปขึ้นเกวียนเพื่อไปเร่ขายตามถิ่นต่างๆ ซึ่งนางสุภาวดี ก็ขออนุญาตบิดาเดินทางตามไปด้วยในบางครั้ง เพื่อหวังเที่ยวชมสถานที่ต่างๆ ระหว่างการค้าขาย

          ระหว่างเดินทางไปค้าขาย นางสุภาวดีได้พบกับ “พระกัสสปเถระเจ้า” ผู้เป็นอริยสงฆ์ เมื่อนางได้รับฟังธรรมเทศนาจากพระกัสสปเถระเจ้า พระกัสสปเถระเจ้าก็ได้กำหนดจิตเป็นอำนาจจิตพระอรหันต์ ประสิทธิ์ประสาทพรให้ครอบครัวของนางสุภาวดีในทุกครั้งที่นางได้มีโอกาสไปฟังธรรม

          ต่อมา นางสุภาวดีได้เดินทางติดตามบิดาของตนไปทำการค้าอีก และได้มีโอกาสฟังธรรมจากพระอริยสงฆ์นามว่า “พระสิวลีเถระเจ้า” ด้วยความตั้งใจ จึงทำให้นางสุภาวดีมีความรู้แตกฉานในหลักธรรมต่างๆ  และเนื่องจากพระสิวลีเป็นผู้มีชีวิตอัศจรรย์กว่าพระสงฆ์อื่น กล่าวคือ ท่านอาศัยอยู่ในครรภ์มารดายาวนานถึง 7 ปี 7 เดือน และเมื่อคลอดออกมาก็พร้อมไปด้วยวาสนาและบารมีที่ติดตัวมากับวิญญาณธาตุของท่าน พระสิวลีท่านจึงเป็นผู้ที่มีลาภสักการบูชามาหาท่านตลอดในทุกคราวที่ต้องการ และเมื่อนางสุภาวดีมาฟังธรรมบ่อยครั้งด้วยความตั้งใจ พระสิวลีเถระเจ้าจึงได้กำหนดกุศลจิต ประสาทพรให้แก่ครอบครัวของนางสุภาวดี

          เมื่อจิตของนางสุภาวดีได้รับการประสาทพรจากพระอรหันต์ถึงสององค์ ว่า “ขอให้เจริญรุ่งเรืองไพบูลย์ด้วยทรัพย์สินเงินทอง จากการค้าขายสินค้าต่างๆสมความปรารถนาเถิด” จึงส่งผลให้บิดาทำการค้าเจริญรุ่งเรือง และได้กำไรอย่างไม่เคยขาดทุน

       ต่อมาเมื่อร่ำรวยเป็นเศรษฐีแล้ว ท่านสุจิตตพราหมณ์ ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฟังธรรมจากพระพุทธองค์ บังเกิดศรัทธาแรงกล้า และปฏิบัติธรรมอยู่ในขั้นโสดาบันบุคคล ได้ถวายอุทยานชื่อ อัมพาฎกวัน อุทิศเป็นสังฆทานให้เป็นที่พักพระภิกษุสงฆ์ ทั้งยังสร้างวิหารหลังใหญ่ไว้กลางอุทยานเป็นวัดขึ้น ตั้งชื่อว่า วัดมัจฉิกาสัณฑาราม และนิมนต์พระสุธรรมเถระ มาเป็นเจ้าอาวาส

         ท่านสุจิตตพราหมณ์ ยังเป็นคนที่มีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ชอบช่วยเหลือคน เมื่อเดินทางไปค้าขายยังเมืองไกล ท่านก็ประกาศถามพระภิกษุสงฆ์ พระภิกษุณีตลอดจนประชาชนผู้เป็นพุทธบริษัททั้งหลายรวมทั้งผู้ที่นับถือนิกายอื่นด้วยว่า ใครจะไปทางเดียวกับท่านบ้าง ซึ่งบางครั้งก็มีคนแจ้งความประสงค์นับพัน ท่านก็จัดเกวียนรับคนเหล่านั้นไปด้วยตามประสงค์ ทำให้ผู้คนต่างสรรเสริญในคุณงามมีจิตเมตตาต่อผู้คนทั่วไปของท่าน และเมื่อพูดกันถึงท่านสุจิตตพราหมณ์ ก็จะพูดกันถึงอานุภาพความขลังของสาวน้อยสุภาวดีที่ทำให้บิดามารดาร่ำรวย้วย จึงพากันยกย่องบูชาในอานุภาพของนางที่ดลบัดดาลให้เกิดโชคลาภทางการค้า

         กาลเวลาผ่านไป จนท่านสุจิตตพราหมณ์ และท่านสุมณฑาละสังขาร ส่วนนางสุภาวดีก็แก่ชราจนละสังขารตามบิดามารดาไป แต่คุณงามความดี ความขลัง และความศักดิ์สิทธิ์ของนางสุภาวดีก็ยังได้รับการเชื่อถือ กราบไว้บูชาต่อไป ผู้ที่ให้ความเคารพนับถือนาง มีคนที่อยู่ในวรรณะทั้ง 4 ครบทุกวรรณะคือ พราหมณ์ กษัตริย์ แพศย์ และ ศูทร เมื่อจะปรารถนาให้ตนร่ำรวยจากการค้า ก็จะหารูปปั้นของนางสุภาวดีมาตั้งบูชา และอัญเชิญวิญญาณของนางมาสถิตในรูปปั้น

         ต่อมาเมื่อมีผู้ที่เคารพกราบไหว้รูปปั้นนางแล้วร่ำรวยรุ่งเรืองขึ้นจากการค้า ก็มีผู้ศรัทธานิยมทำตามกันมากขึ้น และแพร่หลายกว้างขวางออกไป

         เมื่อพุทธศาสนาและลัทธิพราหมณ์ได้แพร่เข้ามาสู่สุวรรณภูมิ พวกพราหมณ์ซึ่งนิยมทางพิธีกรรมและเวทมนตร์คาถาต่างๆ ก็ได้นำรูปปั้นของนางสุภาวดีเข้ามาด้วย โดยจำลองมาจากท่านั่งขายของบนเกวียนและทำเป็นรูปกวักมือให้คนเข้ามาหาหรือมาซื้อสินค้า แต่แรกก็ทำขึ้นไว้เพื่อกราบไหว้บูชาเอง ต่อมาเมื่อมีผู้เลื่อมใส จึงทำตัวเป็นอาจารย์ปลุกเสกรูปปั้นนี้แจกจ่ายให้ผู้ที่ทำการค้า จนรูปปั้นแม่นางสุภาวดีได้รับความนิยมในหมู่ผู้ทำมาค้าขาย และขยายไปทั่ว ซึ่งได้เรียกกันตามท่านั่งของนางว่า “นางกวัก”

ขอบคุณข้อมูลจาก gotoknow.org และ tumnandd.com

แชร์