“ยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์” “อนุปุพพิกถา” พระธรรมเทศนากัณฑ์ที่ 3 ของพระพุทธเจ้า ตอนที่ 1 "สวรรค์"

จะไปสวรรค์หลังตายแล้วต้องทำอย่างไรบ้าง http://winne.ws/n8884

2.5 พัน ผู้เข้าชม
“ยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์” “อนุปุพพิกถา” พระธรรมเทศนากัณฑ์ที่ 3 ของพระพุทธเจ้า ตอนที่ 1 "สวรรค์"

เมื่อศึกษาพุทธประวัติก็จะทราบว่าพระธรรมเทศนากัณฑ์ที่ 3 ต่อจาก อนัตตลักขณสูตร คือ อนุปุพพิกถา และ อริยสัจ 4   อริยสัจ 4 นั้นเป็นส่วนหนึ่งในธรรมจักกัปวัตนสูตร พระธรรมเทศนากัณฑ์แรก  

 อนุปุพพิกถา เป็นพระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงบ่อยมากกัณฑ์หนึ่ง นอกจากเทศน์โปรดพระยะส  บิดา มารดา อดีตภรรยา และเพื่อนพระยะสะแล้ว  ยังทรงแสดงโปรด พระเจ้าพิมพิสารและบริวาร มัลละกษัตริย์  อนาถบิณฑิกะเศรษฐี  เมณฑะกะเศรษฐี  กูฏะทันตะพราหมณ์ และผู้อื่นอีกมาก 

     ที่ให้ชื่อว่า “ยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์”นั้น เพราะสวรรค์ว่ามีความสุข เป็นที่แสวงของทุกคนแล้ว  “ยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์” ต้องดีกว่าเยี่ยมกว่า เลิศกว่า สวรรค์ --อะไรที่เลิศกว่า ดีกว่าสวรรค์? ทำอย่างไรจึงจะได้สภาวะนั้น ? เราจะได้มาศึกษาในรายละเอียดกัน ใน อนุปุพพิกถา

      อนุปุพพิกถา ประกอบด้วย  5  กถา หรือ 5 เรื่อง คือ

     ทานกถาเรื่องราวเกี่ยวกับทาน

     ศีลกถา เรื่องราวเกี่ยวกับศีล

     สัคคกถา เรื่องราวเกี่ยวกับสวรรค์

     กามทีนวกถา  เรื่องกามและโทษของกาม  

     เนกขัมมะกถา เรื่องอานิสงส์ของการออกจากกามประพฤติพรมหจรรย์

     อนุปุพพิกถา นี้ในพระไตรปิฎกมีแต่หัวข้อ ไม่มีรายละเอียด อยู่ในที่เดียวกัน เหมือนพระธรรมเทศนากัณฑ์แรก--- ธัมมจักกัปปวัตนสูตร หรือกัณฑ์ที่ 2---อนัตตลักขณสูตร หรือแม้แต่ในพระสูตรอื่นๆก็ตาม ดังนั้นจึงต้องไปหารายละเอียดจากส่วนอื่น ในพระไตรปิฎกที่พระพุทธเจ้าทรงเทศน์ไว้กับบุคคลหลายๆบุคคล ในต่างเวลา ต่างสถานที่กัน  ทั้งเรื่องของทาน เรื่องของศีล เรื่องของสวรรค์ โทษของกาม และเนกขัมมะ   แล้วนำมาอธิบายขยายความ

         เริ่มเรื่อง “สวรรค์”ที่ทุกคนอยากรู้ อยากไปกันก่อน 

      ทุกคนส่วนใหญ่ เมื่อพูดถึงสวรรค์ต่างก็ไขว่คว้า แสวงหาอยากจะไปสู่สรวงสวรรค์กันทั้งนั้นไม่เฉพาะแต่ชาวพุทธของเรา  แม้แต่ศาสนิกในศาสนาอื่น  คำสอนในศาสนาอื่นต่างก็มีสวรรค์กันทั้งนั้น

        สวรรค์ในความนึกคิดของแต่ละคนนั้นแตกต่างกันไปสวรรค์ในแต่ละศาสนาก็ต่างกันไปอีก แต่ที่สรุปตรงกันทุกคนในทุกศาสนาก็คือ สวรรค์เป็นดินแดนที่มีแต่ความสุข ไม่มีความทุกข์อะไรเลย เป็นสถานที่ทุกคนปรารถนาจะไปอยู่หลังจากตายไปแล้ว  

       สวรรค์นั้นจะมีจริงหรือไม่? หน้าตาเป็นอย่างไร?ใครจะเป็นผู้บอกหรือยืนยันได้เล่า? 

        มีบางคนสรุปง่ายๆว่า สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ  ซึ่งจริงๆแล้วก็ถูก แต่ถูกไม่หมด ถูกส่วนหนึ่งถูกในระดับหนึ่ง ในระดับที่สติปัญญาของมนุษย์ปุถุชนจะเข้าใจได้ 

     แต่ถ้าเป็นผู้มีญาณ---เครื่องหยั่งรู้ ญาณกรณี  ---มีจักษุ ดวงตาทิพย์ ดวงตาธรรม  จักขุกรณี---  อย่างเช่นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  อย่างเช่นพระอรหันต์  หรือแม้แต่พระอริยสงฆ์ในระดับต่อๆมา พระอนาคามีพระสกทาคามี พระโสดาบัน หรือแม้แต่ผู้ที่บำเพ็ญเพียรสมาธิภาวนาจนมีญาณ--เครื่องหยั่งรู้ในระดับหนึ่งแล้ว  จะสามารถไปรู้ไปเห็น  และยืนยันตรงกันว่า สวรรค์มีอยู่จริงๆ  เป็นภพๆหนึ่ง ที่ละเอียด ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตามนุษย์หรือใช้เครื่องมือ วัสดุอุปกรณ์ใดๆส่องดูได้  ต้องมีญาณ ---เครื่องหยั่งรู้ที่เกิดจากการเจริญสมาธิภาวนาจนถึงระดับหนึ่งเท่านั้น

      พระสุปฏิปันโน พระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ต่างยืนยันตรงกันว่า “มี” 

      ถ้าจะยึดตามพระไตรปิฎก  พระไตรปิฎกและอรรกถามี คำว่า “สวรรค์”  ถึง 1669 คำ  มีรายละเอียดที่ชัดเจน กระจายอยู่ทั่วเกือบทุกเล่ม  เสียดายที่บางท่านไปตีความว่าเป็นบุคลาธิษฐาน  คือ เป็นเรื่องอธิบายเปรียบเทียบให้เข้าใจ  ซึ่งโดยแท้จริงแล้ว ไม่ใช่เป็นอย่างนั้น  เป็นภพภูมิที่มีอยู่จริงๆ   จะได้นำข้อความจากพระไตรปิฎกบางส่วนที่กล่าวถึงสวรรค์  มาอธิบายให้ฟัง ส่วนท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อ  ก็ไม่เป็นไร ฟังเป็นข้อมูลไว้ก่อนก็ได้ เมื่อมีข้อมูลมากขึ้น มีผลการปฏิบัติมากขึ้นค่อยตัดสินใจเชื่อหรือไม่เชื่อในภายหลังไม่เสียหายอะไรใช่ไหม?  เรามาศึกษารายละเอียดเรื่องสวรรค์เผื่อใครจะไปอยู่จะได้รู้ล่วงหน้า :)

  พระพุทธเจ้าตรัสกับเวรัญชพราหมณ์ว่า---

  “หมู่สัตว์ผู้ประกอบด้วย กายสุจริต วจีสุจริตมโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยะเจ้า เป็นสัมมาทิฎฐิ  ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ  เบื้องหน้าแต่กายแตก ตายไปเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์   เราย่อมเล็งเห็นหมู่สัตว์ ผู้กำลังจุติ คือตายกำลังอุบัติ คือเกิด เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณงาม ได้ดี ตกยากด้วยทิพย์จักษุ อันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ วิชชาที่สองนี้แล  เราได้บรรลุในมัชฌิมยามแห่งราตรีอวิชชาเรากำจัดได้แล้ว วิชชาเกิดแก่เราแล้ว ความมืดเรากำจัดได้แล้ว แสงสว่างเกิดแก่เราแล้ว เหมือนที่เกิดแก่บุคคลผู้ไม่ประมาท มีความเพียร เผากิเลส อยู่ฉะนั้น”

     พระพุทธเจ้าตรัสกับเวรัญชพราหมณ์ว่า---

  “หมู่สัตว์ผู้ประกอบด้วย กายสุจริต วจีสุจริตมโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยะเจ้า เป็นสัมมาทิฎฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ  เบื้องหน้าแต่กายแตก ตายไปเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์”   

ข้อความตอนนี้ชี้ให้เห็นว่า  จะไปสวรรค์หลังตายแล้วต้องทำอย่างไรบ้าง? 

 ต้องมี กายสุจริต คือ ไม่ฆ่า แต่มีเมตตา---ไม่ลักขโมย  แต่ประกอบสัมมาอาชีพ---ไม่ผิดลูกผิดเมียผู้อื่น แต่สำรวมในคู่ครองของตน วจีสุจริต ไม่พูดโกหก แต่พูดแต่คำจริง---ไม่พูดคำหยาบแต่พูดคำสุภาพไพเราะ ---ไม่พูดส่อเสียด แต่พูดสร้างสามัคคี---ไม่พูดเพ้อเจ้อแต่พูดมีสาระ ถูกกาละเทศะ มโนสุจริต ไม่คิดโลภอยากได้ของผู้อื่นแต่พอใจในของๆตน--- ไม่คิดโกรธอาฆาตพยาบาทจองเวร แต่คิดให้อภัยมีเมตตาปรารถนาดี---ไม่คิดหลงผิดเป็นมิจฉาทิฎฐิ แต่ มีความเห็นถูกต้องเป็นสัมมาทิฏฐิ 

   พระพุทธเจ้าตรัสต่อไปว่า “เราย่อมเล็งเห็นหมู่สัตว์ผู้กำลังจุติ คือตาย กำลังอุบัติ คือเกิด เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณงามได้ดี ตกยาก ด้วยทิพย์จักษุ อันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ วิชชาที่สองนี้แลเราได้บรรลุในมัชฌิมยามแห่งราตรี อวิชชาเรากำจัดได้แล้ว วิชชาเกิดแก่เราแล้ว  ความมืดเรากำจัดได้แล้ว  แสงสว่างเกิดแก่เราแล้ว  เหมือนที่เกิดแก่บุคคลผู้ไม่ประมาท มีความเพียรเผากิเลส อยู่ฉะนั้น”

    ถ้ายังจำได้  ในคืนวันตรัสรู้ธรรม  4 ชั่วโมงแรก พระพุทธเจ้าทรงบรรลุวิชชาที่หนึ่ง ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ  ระลึกชาติ ได้  4 ชั่วโมงต่อมาทรงบรรลุวิชชาที่สอง จุตูปปาตญาณ รู้การไปเกิดมาเกิดของสัตว์ ด้วยทิพย์จักขุ ซึ่งตามนุษย์ไม่สามารถมองเห็นได้  จักขุง อุทปาทิ  จักขุเกิดขึ้นแล้ว  ญาณัง อุทปาทิ ญาณเครื่องหยั่งรู้เกิดขึ้นแล้ว  ปัญญาอุทปาทิปัญญาเกิดขึ้นแล้ว วิชชา อุทปาทิ วิชชาเกิดขึ้นแล้ว  อาโลโก อุทปาทิ แสงสว่างเกิดขึ้นแล้วยังจำได้ใช่ไหม?---ใน ธัมมจักรกัปวัตนสูตร 

    พระพุทธเจ้าทรงเห็นด้วย  วิชชาที่สอง จุตูปปาตญาณนี้ 

    และพระองค์ยังตรัสอีกว่า “เหมือนที่เกิดแก่บุคคลผู้ไม่ประมาท  มีความเพียรเผากิเลส ส่งจิตไปแล้วฉะนั้น”  แสดงชัดว่า “ใครก็ทำได้ ถ้าทำใจหยุดนิ่งไม่ส่งจิตให้ฟุ้งซ่านไปตามอำนาจกิเลส “ 

ในมหาสีหนาทสูตร พระพุทธเจ้าตรัสกับพระสารีบุตร ว่า

“ ดูก่อนสารีบุตร เราย่อมกำหนดรู้ใจบุคคลบางคนในโลกนี้ด้วยใจอย่างนี้ว่าบุคคลนี้ปฏิบัติอย่างนั้น ดำเนินอย่างนั้น และขึ้นสู่หนทางนั้นเบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก จักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ โดยสมัยต่อมาเราย่อมเห็นบุคคลนั้น เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตกเข้าถึงแล้วซึ่งสุคติโลกสวรรค์เสวยสุขเวทนาโดยส่วนเดียว ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์” 

พระพุทธเจ้าทรงรู้ใจของบุคคล ว่าจะปฏิบัติตนอย่างไรเมื่อทำแล้วจะได้ไปสวรรค์ และเมื่อตายแล้วก็ได้ไปสวรรค์จริงๆคือรู้เหตุหรือการกระทำที่จะทำให้ไปเกิดในสวรรค์

  อีกตัวอย่างหนึ่ง เมื่อขึ้น15 ค่ำ เดือน 8 ในพรรษาที่ 6  พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดง ยมกปฏิหาริย์แล้วเสด็จขึ้นไปโปรดเทพบุตรพุทธมารดา และ จำพรรษาในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ตลอดเวลา3 เดือน เมื่อออกพรรษาจึงเสด็จลงจากดาวดึงส์ที่เมืองสังกัสสะ ในวันนั้นพระองค์ทรงใช้พุทธนุภาพ เปิดให้เทวดาในสวรรค์ มนุษย์ ในมนุษยโลก  และสัตว์นรกในนรก ได้มองเห็นกันหมด   ที่เราคุ้นกันในชื่อว่า วันพระพุทธเจ้าเปิดโลก

แสดงว่า พระพุทธเจ้าทรงจำพรรษาในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ในพรรษาที่ 6 แล้วจะบอกว่าสวรรค์ไม่มีได้อย่างไร? หรือทรงเปิดโลกให้ เทวดา มนุษย์ และสัตว์นรกเห็นกัน

แสดงว่า นรก สวรรค์ มีจริงๆ ใช่ไหม?

 จากข้อความในพระไตรปิฎกดังกล่าว  นี่---มีบันทึกไว้ในพระไตรปิฎก  นี่ ---เรื่องสวรรค์อย่างเดียว เรื่องนรกก็เหมือนกัน--- แต่เอาไว้ก่อนนะ---  เอาไว้ในโอกาสต่อๆไป

    พระพุทธเจ้าทรงเห็นมาหมดแล้ว  เสด็จไปจำพรรษาที่สวรรค์ก็เคยพระอรหันต์หรือพระ  ผู้มีรู้มีญาณได้รู้ได้เห็นหมด แล้ว

     มาดู การไปสวรรค์ของพระมหาโมคคัลลานะ พระอัครสาวกเบื้องซ้ายผู้เป็นเลิศทางมีฤทธิ์ดูบ้าง  

    “สมัยหนึ่ง พระเถระไปยังเทวโลก โลกของเทวดายืนอยู่ที่ประตูวิมานของเทพธิดาผู้มีศักดิ์มาก ถามเทพธิดาว่า “สมบัติของท่านมากมายขนาดนี้  ท่านได้เพราะทำกรรมอะไรมา?” เทพธิดาเกิดความอายเพราะกรรมหรือการกระทำของตนนั้นเล็กน้อย  แต่ก็บอกพระเถระว่า  “เกิดจากการถวายฟังทองผลหนึ่ง”อีกองค์หนึ่งบอกว่า “ถวายลิ้นจี่ผลหนึ่ง” อีกองค์บอกว่า “ถวายเหง้ามันกำมือหนึ่ง”อีกองค์บอกว่า “ถวายสะเดากำมือหนึ่ง” เมื่อพระเถระลงจากสวรรค์เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ทูลถามว่า “การถวายทานแม้เพียงเล็กน้อยเป็นเหตุให้เข้าถึงสวรรค์ได้หรือพระเจ้าค่ะ” พระพุทธเจ้าทรงย้อนถามว่า “ทำไมจึงมาถามพระองค์ เทพธิดาบอกเธอแล้วมิใช่หรือ” แล้วพระองค์ก็ทรงตรัสยืนยันว่า เป็นความจริงตามที่เทพธิดาบอก 

    แสดงว่าทำทานแม้เพียงเล็กน้อยก็ได้ไปสวรรค์ ยังมีตัวอย่างอีกมาก---เอาแค่นี้ก่อนนะ

      สวรรค์ เป็นภพ หรือภูมิหรือโลกของเทวดา  เป็นสถานที่ที่ผู้สร้างบุญกระทำความดีขณะเมื่อเป็นมนุษย์ ไปเกิดเสวยผลบุญเมื่อละโลกมนุษย์ไปแล้ว---  คือหลังตายไปแล้ว   เป็นดินแดนที่มีความสุขเลิศล้ำด้วยกามคุณ 5  คือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส อันเป็นทิพย์ยิ่งกว่ากามคุณ 5 ในโลกมนุษย์อย่างไม่มีที่เปรียบ 

   การเกิดขึ้นของเทวดาจะเกิดขึ้นแบบโตเลยทันทีเรียกว่า โอปปาติกะ ไม่ใช่เป็นเด็กก่อนแล้วค่อยโตเป็นผู้ใหญ่เหมือนมนุษย์ ไม่มีเทวดาเด็กไม่ต้องกินนม เทพบุตร เทพธิดาจะเป็นหนุ่มและสาวตลอดเวลาตั้งแต่เกิดจนตาย  ไม่มีเทวดาแก่ หนังเหี่ยว หนังย่น หลังโกง  เทพธิดาจะแข็งแรงและสวยงามเหมือนมนุษย์ตอนอายุ 16 ถึง18 ส่วนเทพบุตรจะเหมือนชายตอนมีอายุ 18 ถึง 20 ตั้งแต่เกิดจนตาย 

   ตอนอายุเท่านั้นเรารู้สึกเป็นไงบ้าง?สดชื่นกระชุ่มกระชวย โลกมีแต่ความสวยงาม มีกำลังกายกำลังใจ ไม่มีอุปสรรคใดๆมาขวางได้   เทวดาก็ยังงั้นแหละ  ร่างกายเทวดาจะมีผิวพรรณวรรณะที่เปล่งปลั่ง มีรัศมีสว่างไสวคลุมกายเป็นปริมณฑลทรงกลม มีรัศมีเล็กใหญ่ต่างกันไป 10 วา บ้าง1โยชน์--- สิบหกกิโลเมตรบ้าง  2 โยชน์ จนถึง 12 โยชน์ก็มี ตามกำลังบุญที่ตนได้สั่งสมไว้

   เทวดามีสมบัติต่างๆวิจิตร โอราฬ ตระการตาทั้งวิมาน เทวรถ เครื่องใช้ เครื่องนุ่งห่ม อาหาร เครื่องบำรุงบำเรอต่างๆ ล้วนเป็นของทิพย์ทั้งหมด  มีบริวารคอยเอาอกเอาใจ คอยรับใช้  มีแต่สิ่งที่น่าใคร่ น่าปรารถนา น่าพอใจ  ไม่ต้องทำงานทำการอะไร มีแต่การเล่น  และเสวยความสุขด้วยกามคุณ 5 อันเป็นทิพย์ตลอดเวลา   บรรยากาศสิ่ง แวดล้อมของชาวสวรรค์จะเป็น ฤดูสบายไม่มีฤดูร้อน ไม่มีฤดูหนาว ไม่มีฤดูฝน  มีแต่สบายตลอดเวลา  --- ดีไหม? น่าไปอยู่นะ?

    เทวดาแต่ละองค์จะมีความแตกต่างกันตามกำลังบุญของตนที่ทำไว้ตอนเป็นมนุษย์ แตกต่างกันด้วยรัศมีที่ไม่เท่ากัน  มีสมบัติไม่เท่ากัน มีบริวารไม่เท่ากันมีอายุยืน

ไม่เท่ากัน อยู่ในชั้นที่แตกต่างกัน นี่จะนับว่าเป็นความทุกข์ของเทวดาก็ได้ รัศมีน้อยกว่าองค์อื่นบริวารน้อยกว่า สมบัติน้อยกว่า ไม่ทัดหน้าเทียมตาเทวดาองค์อื่นเขา---เป็นความทุกข์ของเทวดา

     เวลาจะตายก็ไม่เจ็บ ไม่ป่วย ไม่ปวด ไม่ทรมาน ไม่ต้องไปหาหมอ ไม่ต้องไปโรงพยาบาล ตายก็หายแว๊บไปเลย  เมื่อใดเทวดาจะต้องจุติ หรือ ตาย จะมี นิมิตหรือเครื่องหมาย 5 ประการ ปรากฏ คือ

หนึ่ง ดอกไม้ทิพย์เหี่ยวแห้ง ปกติจะสด เปล่งประกายตลอดเวลา

 สอง ผ้าทิพย์เศร้าหมองปกติจะมีแสงแวววาวระยิบระยับ  

สาม เหงื่อไหลออกจากรักแร้ ปกติจะไม่มีเหงื่อไคล ถ้ามีเหงื่อไหลที่รักแร้จะรู้เลยว่า จะต้องจุติหรือตายแล้ว

สี่ ผิวพรรณเศร้าหมอง ไม่ผ่องใสเปล่งปลั่งเหมือนธรรมดา

ห้า ไม่ยินดีในทิพอาสน์---ที่นั่งของตน” 

      พระพุทธเจ้าตรัสถึงคุณของสวรรค์ว่า  “พระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้าทั้งหลายผู้กำลังตรัสถึงสมบัติของสวรรค์ ก็ไม่เพียงพอ” 

 หมายความว่าอย่างไร? พระพุทธเจ้าทั้งหลาย มิใช่พระองค์เดียวนะ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ซึ่งแต่ละพระองค์มีความรู้ ความสามารถสูงสุดเมื่อจะอธิบายด้วยพระโอษฐ์ให้เข้าใจถึงสมบัติในสวรรค์ที่ผู้ทำบุญจะได้เสวยนั้นยังไม่สามารถพรรณนาได้หมดเลย คงเข้าทำนองว่า สิบปากว่า ไม่เท่าตาเห็น  ต้องไปดู ไปรู้ ไปเห็นด้วยตัวเองแล้วนั่นแหละ ถึงจะเข้าใจ  เหมือนเวลาเราเข้าไปชมพระราชวังของเจ้าพระยามหากษัตริย์หรือสุลต่าน ผู้เป็นมหาเศรษฐี มีเสื้อผ้า เครื่องใช้ไม้สอย จาน ชาม วิวิศมาหราสูงค่า   อย่างไม่น่าเชื่อสายตา  บางสิ่งบางอย่างที่เราไม่ได้มาเห็นด้วยตา นั้นยากจะเข้าใจได้  แม้จะมีผู้ที่ไปรู้ไปเห็นมาแล้วพยายามจะเล่าให้เราฟังอย่างละเอียดก็ตาม

 เอาเป็นว่า สวรรค์เป็นดินแดนเสวยบุญของมนุษย์ผู้กระทำบุญไว้หลังจากตายไปแล้ว  เป็นภพภูมิที่ละเอียด เป็นทิพย์ มองไม่เห็นได้ด้วยตาหรือเครื่องมือใดๆในโลกมนุษย์ จะเห็นได้ด้วยการเจริญสมาธิภาวนาจนถึงระดับหนึ่งแล้ว

       สวรรค์มีทั้งหมด 6 ชั้น 

   ชั้นต่ำสุดชื่อ จาตุมหาราชิกา  มีท้าวมหาราช  4 องค์ ปกครองอยู่ อย่างที่เราได้ยินได้ฟังกันในชื่อของท้าวโลกบาล ผู้ดูแลรักษาโลก มี

1. ท้าวธตรฐ เป็นคนธรรพ์ ปกครองดูแลสวรรค์ด้านทิศตะวันออก มีหน้าที่ปกครองเทวดา 3พวก ได้แก่ คนธรรพ์ วิทยาธร และกุมภัณฑ์

2. ท้าววิรุฬหก เป็นครุฑปกครองสวรรค์ด้านทิศใต้มี หน้าที่ปกครองพวกครุฑ

3.ท้าววิรูปักษ์ เป็นนาคปกครองสวรรค์ด้านทิศตะวันตก มีหน้าที่ปกครองพวกนาค 

 4. ท้าวเวสสุวรรณ หรือ ท้าวกุเวร เป็นยักษ์ปกครองสวรรค์ด้านทิศเหนือ มีหน้าที่ปกครองพวกยักษ์

   นอกจากนี้ยังมีเทวดาชั้นต่ำที่มีวิมานอยู่บนพื้นดินที่มนุษย์อยู่ เรียกชื่อตามที่อยู่อาศัย รวมเป็นพวกใหญ่ดังนี้

ภุมมะเทวา เป็นเทวดาที่อาศัยอยู่บนพื้นมนุษย์ อยู่ตามจอมปลวก เนินดิน ใต้ดิน ภูเขาแม่น้ำ บ้าน เจดีย์ ศาลา ซุ้มประตู เป็นต้น บางองค์มีวิมานเป็นของตน บางองค์ก็ไม่มีต้องอาศัยวิมานองค์อื่นอยู่

รุกขะเทวา เป็นเทวดาที่อาศัยอยู่ตามกิ่งไม้หรือยอดไม้ต่างๆ ซึ่งสูงขึ้นไปกว่าพวกภุมเทวามีทั้งที่มีวิมานและไม่มีวิมานเป็นของตน

อากาศเทวา เป็นเทวดาที่มีวิมานอยู่กลางอากาศ สูงขึ้นไปจากพื้นดินประมาณ 1 โยชน์

เทวดาเหล่านี้อยู่ในปกครองของท้าวจาตุมหาราชิกา

จะเห็นได้ว่าทีอยู่อาศัยของเทวดาเหล่านี้อยู่ซ้อนกับภูมิของมนุษย์ ทำให้บางคราวมนุษย์สามารถมองเห็นพวกภุมเทวา รุกขเทวาและอากาศเทวา ได้ด้วยตาเปล่า

     สวรรค์ชั้นที่ 2 ชื่อ ดาวดึงส์ เป็นที่อยู่ของเทพ 33 องค์ และบริวาร มี ท้าวสักกะ หรือพระอินทร์ดูแลปกครอง

   ในชั้นดาวดึงส์ ตรงกลางเป็นที่ประทับของพระอินทร์และพระสหาย ชื่อ สุทัสสนเทพนคร เป็นเมืองหลวงมีเวชยันต์ประสาทเป็นจุด ศูนย์กลาง

 ทิศตะวันออก มีอุทยานสวรรค์ชื่อ จิตรลดา 

ทิศตะวันตก มีอุทยานสวรรค์ชื่อ นันทวัน 

ทิศเหนือ มีอุทยานสวรรค์ชื่อ มิสกวัน 

 ทิศใต้ มีอุทยานสวรรค์ชื่อ ปารุสกวัน 

จะสังเกตเห็นว่าชื่ออุทยานเหล่านี้ เรานำมาตั้งเป็นชื่อพระราชวังในกรุงเทพมหานคร ทั้ง จิตรลดา มิสกวัน ปารุสกวัน

 สวรรค์ชั้นที่ 3 ชื่อ ยามา เป็นที่อยู่ของเทพผู้ปราศจากทุกข์  มี ท้าวสุยามา ดูแลปกครองอยู่  เทวดาชั้นนี้มีความเป็นอยู่ที่ละเอียดประณีตมากยิ่งกว่าชั้นดาวดึงส์ 

   ตั้งแต่สวรรค์ชั้นนี้ขึ้นไปจะไม่มีดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ คืออยู่สูงจากวงโคจรของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ ทำให้ไม่มีเงา ไม่มีมุมมืดบนสวรรค์อยู่ได้ด้วยความสว่างจากวัตถุสิ่งของต่างๆ เช่น กายของเหล่าเทวดาก็สว่าง วิมาน สวนสระ สิ่งแวดล้อมต่างๆ มีแต่ความสว่างในตัวทั้งสิ้น

สวรรค์ชั้นที่ 4 ชื่อ ดุสิต เป็นที่อยู่ของเทพผู้อิ่มเอิบด้วยสมบัติของตน มี ท้าวสันตดุสิต เป็นผู้ปกครองสวรรค์ชั้นนี้เป็นที่อยู่ของพระโพธิสัตว์ ผู้ที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างเช่นพระศรีอาริยเมตตรัย หรือพระศรีอาริย์ที่จะลงมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อจากพระพุทธเจ้าของเราองค์ปัจจุบันก็อยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิตนี้   เป็นที่อยู่ของเทพบุตรพุทธมารดาด้วย

 สวรรค์ชั้นดุสิตมีวิมานของท้าวสันตดุสิตเป็นศูนย์กลาง แล้วแบ่งออกเป็น 4 เขตโดยรอบ

 เขตที่ 1 เป็นที่อยู่ของพระอริยเจ้า คือ พระโสดาบัน พระสกิทาคามี

เขตที่ 2 เป็นที่อยู่ของนิยตโพธิสัตว์ คือพระโพธิสัตว์ที่ได้รับการพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วและจะได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแน่นอน

เขตที่ 3 เป็นที่อยู่ของอนิยตโพธิสัตว์ คือพระโพธิสัตว์ที่ยังไม่ได้รับพยากรณ์เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังต้องสร้างบารมีอีกมากจึงจะได้ตรัสรู้ บางทีสร้างบารมีไปเกิดเปลี่ยนใจไม่เป็นพระพุทธเจ้าขอเป็นแค่พระอรหันต์ธรรมดาก็มี

เขตที่ 4 เป็นที่อยู่ของผู้ที่ทำบุญทำกุศลไว้มากทั่วๆไปที่มีกำลังบุญมากพอจะได้อยู่ในสวรรค์ชั้นดุสิตนี้

 ในเขตทั้ง 4 ที่กล่าวมา จะมีชุมชนเทวดา มีวิมานอยู่กันเป็นกลุ่มตามกำลังบุญ

     มีข้อน่าสังเกต ว่า ทำไมพระบรมโพธิสัตว์หรือบัณฑิตทั้งหลายจึงปรารถนาที่จะได้มาบังเกิดบนสวรรค์ชั้นดุสิตทั้งที่กำลังบุญของแต่ละท่านนั้นมากมาย ปรารถนาจะไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นใดก็ได้  สวรรค์ชั้นสูงๆขึ้นไปยิ่งมีความสุข ความละเอียดประณีตมากขึ้นไปเรื่อยๆแต่ทำไมไม่ไปเกิด เหตุที่ท่านเลือกสวรรค์ชั้นนี้ 

มีข้อสังเกตอย่างน้อย 3 ประการ คือ

1. อายุทิพย์ของสวรรค์ชั้นดุสิตนี้ ไม่มากเกินไปและไม่น้อยเกินไปพอเหมาะพอดีที่จะเสวยสุข เพราะท่านจะต้องลงมาสร้างบารมีต่อถ้านานเกินไปจะทำให้เสียเวลา

2. พระโพธิสัตว์สามารถจุติลงมาได้ตามใจปรารถนา เมื่อไรก็ได้โดยปกติเทวดามีเหตุแห่งการจุติหลายประการ หมดบุญก็มี หมดอายุขัยก็มีจุติเพราะความโกรธก็มี แต่พระบรมโพธิสัตว์ทั้งหลาย ในสวรรค์ชั้นดุสิตนี้เมื่อจะจุติมาสร้างบารมีหรือจะมาบังเกิดเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตามความปรารถนาไม่ต้องรอเวลาหมดอายุขัย

3. ได้สนทนาธรรมตามอัธยาศัยของผู้เป็นบัณฑิตทั้งหลาย เพราะสวรรค์ชั้นนี้มีแต่บัณฑิต มีแต่พระบรมโพธิสัตว์ที่มีอัธยาศัยคล้ายคลึงกัน จะได้สนทนาธรรม กัน---น่าไปอยู่ไหม?

 สวรรค์ชั้นที่ 5 ชื่อ นิมนรดี  เป็นที่อยู่ของ “เทพผู้ยินดีในการเนรมิต” มี ท้าวสุนิมิต เป็นผู้ปกครอง เทวดาชั้นนี้ ต้องการอะไร อยากได้อะไรก็เนรมิตเอาเองตามใจ ไม่เหมือน4 ชั้นแรกที่สมบัติเกิดขึ้นเองตามกำลังบุญ เลือกไม่ได้ แต่ชั้นนี้ เลือกได้ตามใจปรารถนาแสดงว่า มีบุญมาก

สวรรค์ชั้นที่ 6 ชื่อ ปรนิมมิตวสวัสตี  เป็นดินแดนของเทพผู้มีผู้อื่นเนรมิตสมบัติให้  สวรรค์ชั้นที่ 5 อยากได้อะไรต้องเนรมิตเอง  ชั้นนี้ไม่ต้อง---บริวารจะรู้ใจว่าเจ้านายต้องการอะไร บริวารจะเนรมิตให้ น่าไปอยู่ไหม?สวรรค์ชั้นนี้มี ท้าวปรนิมมิตวสวัตดี เป็นผู้ปกครอง  คงจำได้  พญามารที่ไปผจญพระพุทธเจ้าก่อนตรัสรู้ที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์

     อายุของสวรรค์แต่ละชั้นไม่เท่ากัน  แต่ยาวนานมาก เมื่อเทียบกับมนุษย์  เช่น อายุของเทวดาในชั้นของจาตุมหาราชิกา  ชั้นต่ำสุด เทวดาในชั้นนี้มีอายุ  9 ล้านปีมนุษย์

ชั้นดาวดึงส์เทวดามีอายุ 3โกฎิ 6 ล้านปีมนุษย์ ยิ่งชั้นสูงๆขึ้นไปยิ่งมีอายุยืนมากยิ่งขึ้นยิ่งขึ้นอีก เรียกว่าเสวยความสุขไปกันจนลืมไปเลยล่ะ 

    สูงกว่าสวรรค์ 6 ชั้น  ยังมีรูปพรหมอีก 16 ชั้น อรูปพรหมอีก 4 ชั้น ซึ่งนับว่าเป็นสวรรค์เหมือนกันแต่จะไม่ให้รายละเอียดในตอนนี้ เดี๋ยวจะยาวไป---:)

   แต่ทำไมมนุษย์มองไม่เห็น สวรรค์ ?---เพราะเป็นภพ เป็นภูมิ เละเอียดเกินกว่าสายของมนุษย์จะมองเห็นได้ 

        ถ้าเปรียบเทียบให้เข้าใจง่ายก็เหมือนกับ เรามองไม่เห็นเชื้อโรคที่มีอยู่ทั่วไปในอากา ต้องใช้กล้องขยายส่องดูจึงจะเห็น หรือเรามองไม่เห็นคลื่นวิทยุคลื่นโทรทัศน์ คลื่นโทรศัพท์ที่อยู่ในอากาศ  แต่ถ้าใช้เครื่องรับวิทยุ เครื่องรับโทรทัศน์ เครื่องรับโทรศัพท์รับ เราจึงสามารถรู้ว่ามีคลื่นวิทยุ คลื่นโทรทัศน์ คลื่นโทรศัพท์ อยู่ในอากาศที่เรามองด้วยตาเปล่าไม่เห็นในกรณีของเทวดาก็เช่นกัน ต้องใช้ตาทิพย์ดูจึงจะเห็นไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตามนุษย์และเป็นการตอบคำถามว่า ทำไมนักบินอวกาศจึงไม่พบวิมานของเทวดา อีกประการหนึ่งเลยสวรรค์ชั้นที่ 3 ยามา ขึ้นไป แสงอาทิตย์ก็ไปไม่ถึงแล้ว---มันไกลมากเกินกว่ายานอวกาศจะไปถึง

           เรื่องเวลาที่ต่างกันของสวรรค์แต่ละชั้นหรือโลกแต่ละโลกเมื่อเปรียบเทียบกับโลกที่เราอยู่นี่ นักวิทยาศาสตร์ต่างยอมรับและมีข้อมูลยืนยันนะเราลองมาดูเวลาของดาวเคราะห์เพื่อนของโลกเราในระบบสุริยะจักรวาลที่มีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางดูบ้าง

   วันหนึ่งคืนหนึ่งของโลกเรามี 24 ชั่วโมงปีหนึ่งมี 365 วัน

     ดาวศุกร์ หรือดาวประจำเมืองที่อยู่ใกล้โลกเข้าไปทางดวงอาทิตย์---1วันของดาวศุกร์ยาวนานเท่ากับ 117 วันของโลก

     ดาวพุธซึ่งอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด--- 1 วันบนดาวพุธยาวนานถึง 176 วันของโลก

   นี่ตัวอย่างดาวที่อยู่ใกล้ๆเราแล้วนักวิทยาศาสตร์คำนวณเวลาได้

  สวรรค์ไกลกว่านั้น เวลาจึงแตกต่างกันไปจากเวลาในโลกของเรา

          มีบางคนบอกว่า “เอาสวรรค์มาล่อ เอานรกมาขู่” ให้กลัวบาป ให้สร้างบุญ ถ้าเอาสวรรค์มาล่อแล้วสร้างบุญก็ดีซิ ไม่เสียหายอะไร

กลัวเอามาล่อแล้วยังทำบาปอยู่ น่ะซี

ขอขอบคุณแหล่งบทความ

Facebook : Happyuniverse Wat

แชร์