ทำไม? พระสงฆ์รับประเคนจตุปัจจัยไทยธรรมจากศรัทธาญาติโยม แล้วพระถูกกล่าวหาว่ารับของโจร ??
เริ่มกันเลยดีกว่าครับ เมื่อพระสงฆ์รับประเคน หรือรับถวายปัจจัยไทยธรรม จากศรัทธาญาติโยม แต่กลับถูกกล่าวหาว่ารับของโจร สังคมไทยเป็นเมืองพุทธมาตลอดไม่เคยได้ยินมาก่อน จึงต้องถามหาทนาย เพื่อให้อธิบายถึงความผิดรับของโจร http://winne.ws/n12649
ทนายวัด (ใจ ) ตอนที่ 7 เมื่อพระสงฆ์รับประเคนจากศรัทธาญาติโยม กลับถูกกล่าวหาว่ารับของโจร.
"เมื่อพระสงฆ์รับประเคน หรือรับถวายปัจจัยไทยธรรม จากศรัทธาญาติโยม แต่กลับถูกกล่าวหาว่ารับของโจร สังคมไทยเป็นเมืองพุทธมายาวนาน ไม่เคยได้ยินมาก่อน จึงต้องถามหาทนาย เพื่อให้อธิบายถึงความผิดรับของโจร"
ในช่วงเวลานี้ ข่าวคราวของเจ้าหน้าที่ตำรวจค่อนข้างจะเยอะ โดยเฉพาะข่าว (จับคน) ดี ๆ ทั้งหลาย ตอนนี้ถือว่าเยอะมากเลยนะครับ เรื่องเหล่านี้ไม่ควรเกิดขึ้นในสังคมเลย แต่ก็ควรมีข่าวคราวเตือนใจกันให้บ่อย ๆ เพื่อเป็นเสียงสะท้อนจากสังคมว่า สังคมต้องการความยุติธรรม เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างผาสุข
ก่อนที่ผมจะเขียนบทความนี้ ผมก็คิดไว้อยู่แล้วว่า ข่าวจับแพะที่กำลังดังสนั่นอยู่ตอนนี้ จะทำให้หน่วยงานใดสักหน่วยงานหนึ่งต้องรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ จนต้องหาวิธีการกลบกระแสข่าวจับแพะอย่างแน่นอน สุดท้ายแล้วก็มีการสร้างกระแสข่าวอย่างอื่นที่ออกมาเพื่อลดความแรงของข่าวจับแพะจนได้ นั่นก็คือ ข่าว “บุกวัดพระธรรมกาย ครั้งที่ 3”
เริ่มกันเลยดีกว่าครับ เมื่อพระสงฆ์รับประเคน หรือรับถวายปัจจัยไทยธรรม จากศรัทธาญาติโยม แต่กลับถูกกล่าวหาว่ารับของโจร คนไทยและชาวพุทธทั้งหลาย จึงต้องถามหาทนาย เพื่อให้อธิบายถึงความผิดรับของโจร
อยากให้ทุกท่านได้รู้จักข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความผิดฐานรับของโจรกันก่อน ความผิดรับของโจรนั้น มีอยู่ในกฎหมายที่ชื่อ ประวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 ซึ่งบัญญัติว่า
“ผู้ใดช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำหรือรับไว้โดยประการใดซึ่งทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิด ถ้าความผิดนั้นเข้าลักษณะลักทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ กรรโชก รีดเอาทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ฉ้อโกง ยักยอก หรือเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ ผู้นั้นกระทำความผิดฐานรับของโจร”
อ่านข้อกฎหมายแล้วก็งงนะครับ แต่ผมจะอธิบายให้สั้น ๆ และเข้าใจง่าย ๆ ก็คือ ความผิดเกี่ยวกับรับของโจร ดังนี้ครับ
1. ทรัพย์นั้น ต้องเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิด ในข้อหาดังนี้ “ลักทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ กรรโชก รีดเอาทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ฉ้อโกง ยักยอก หรือเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์”
2. ผู้ที่รับทรัพย์ ต้องรู้ ว่าทรัพย์ที่ได้รับมานั้น เป็นทรัพย์จากการกระทำความผิด ถ้าไม่รู้ก็ไม่ผิดนะครับ
ผมจะอธิบายขยายความเพิ่มเติมนะครับว่า กฎหมายเกี่ยวกับการรับของโจร ให้มุ่งเน้นเอาความผิดกับฝ่ายที่เป็นผู้รับทรัพย์ไว้ ไม่ได้เอาผิดกับ “ผู้ให้ทรัพย์” นะครับ เพราะฉะนั้นกฎหมายข้อนี้จึงไม่จำเป็นต้องพิจารณาตัวผู้ให้
ผู้ให้จะเป็นโจรหรือไม่นั้น ไม่สำคัญ
ที่สำคัญ คือ ผู้รับนั้น รู้หรือไม่ว่าทรัพย์นั้นเป็นของโจร เพราะความผิดรับของโจร ต้องรู้ว่าเป็นของโจร ถ้าไม่รู้ ก็ไม่ผิด
แล้วถ้าผู้รับ ไม่ทราบว่าทรัพย์นั้น เป็นของโจรล่ะ จะยังมีความผิดในข้อหารับของโจรอยู่มั้ย? ตอบว่า ถ้าไม่รู้ว่าเป็นของโจร ผู้รับก็ไม่มีความผิดนะครับ ฟันธงกันให้ชัด ๆ ไปเลย
กรณีของวัดพระธรรมกาย หากท่านใดไม่เคยไปทำบุญที่วัดพระธรรมกาย ก็คงจะไม่เห็นภาพว่า การถวายปัจจัยนั้นถวายกันอย่างไร ผมจะเล่าให้ฟังนะครับ ว่าการถวายปัจจัยที่วัดพระธรรมกายนั้น ทุก ๆ วันอาทิตย์จะมีสาธุชนจำนวนหลายพันคน แล้วแต่ละคนก็เข้าแถวกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เพื่อเดินเข้าไปถวายปัจจัยแด่พระเดชพระคุณหลวงพ่อ หรือประธานสงฆ์
ในการเข้าแถว เดินเข้าไปถวายปัจจัยนั้น มีสาธุชนจำนวนมาก คงไม่สามารถที่จะมีเวลาพูดคุยอะไรกันได้ เดินเข้ามาถวายแล้วก็เดินออกไปก็จบแล้วแล้วครับ. ลองนึกถึงการทอดกฐิน หรือผ้าป่าที่วัดอื่น ๆ ก็ได้นะครับ ไม่จำเป็นต้องวัดพระธรรมกาย ลองนึกดูว่าเวลาเข้าไปถวายปัจจัยด้วยปริมาณคนเยอะๆ ขนาดนั้น จะมีหลวงพ่อ หลวงพี่ หลวงปู่ หลวงอา หลวงปู่ ที่ไหนจะไปรู้ได้ว่าเงินที่ถวายมานั้นเป็นเงินที่ได้มาจากไหน ถ้าเป็นกฐินที่วัดพระธรรมกายก็มีสาธุชนมาถวายเป็นแสน ๆ คนนะครับ
เรียนตามตรงนะครับ ลองคำนึงถึงหลักนิติรัฐ และหลักนิติธรรมดูสักหน่อย ถ้าพระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโยฯ รับถวายปัจจัยจากสาธุชนหลาย ๆ คน ที่มาจากทุกทิศทุกทางโดยไม่ทราบว่าเป็นเงินของใคร และไม่ทราบด้วยว่าเงินนั้นมาจากไหน แต่ปรากฏว่า มีความผิดฐานรับของโจร
แบบนี้แล้วเห็นที่พุทธศาสนาชาติไทยคงไม่สามารถที่จะยืนอยู่ต่อไปได้แน่นอนเลยครับ สาเหตุเพราะอะไร?
ตอบง่ายนิดเดียว พระสงฆ์หรือพระภิกษุ แปลว่า ผู้ขอ (หมายถึงขอโอกาสศึกษาธรรมะ) ทำงานหาเลี้ยงชีพไม่ได้ แต่รับถวายแล้วผิดกฎหมาย แล้วใครจะอยากบวชเป็นพระ ?
เรื่องนี้จะปล่อยผ่านไปเฉย ๆ ไม่ได้นะครับ เพราะอาจเป็นหายนะของพระพุทธศาสนาก็ได้ และเป็นช่องทางในการหาเรื่อง ใส่ความพระสงฆ์ได้ง่าย ๆ อีกด้วย พุทธศาสนิกชนทั้งหลายต้องตระหนักถึงเรื่องนี้ให้มาก ๆ เพราะถ้าพระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโยฯ ถูกตัดสินว่าผิด ทั้ง ๆ ที่ท่านยังไม่ทราบเลยว่าขณะที่มีการถวายนั้น เงินเป็นของใคร แล้วเงินมาจากไหน
ย้ำนะครับว่า “ท่านยังไม่ทราบเลยว่าขณะที่มีการถวายนั้น เงินเป็นของใคร? แล้วเงินมาจากไหน?”
แต่ถูกกล่าวหาว่ารับของโจร แบบนี้แล้วพุทธศาสนาที่เคยร่มเย็น คงต้องร้อนเป็นไฟแน่นอน เพราะฉะนั้นคดีของหลวงพ่อธัมมชโยฯ จึงไม่ได้รับความเป็นธรรม เจ้าหน้าที่ก็ปฏิบัติด้วยความไม่ถูกต้อง ไม่ยึดหลักนิติรัฐ นิติธรรม อันนำมาซึ่งความวุ่นวายแน่นอนครับ
ผมเปรียบเทียบอีกเรื่องนะครับ “ถ้ามีคุณแม่ท่านหนึ่ง มีฐานะยากจนมาก ๆ ไม่มีเงินที่จะซื้อนมให้ลูกกินด้วยซ้ำ จึงจำเป็นและจำใจอย่างมาก ที่จะต้องขโมยนมจากร้านค้าเพื่อไปเลี่ยงลูก” จากตัวอย่างนี้ที่เห็นชัด ๆ ก็คือ คุณแม่มีความผิดฐานลักทรัพย์นะครับ เราไม่พูถึงกัน แต่ว่า! ลูกน้อยที่ไม่รู้เรื่องเลยว่า นมที่กินไปนั้นมาจากไหน เพราะคุณแม่ก็ไม่ได้บอกซะด้วย จึงมีคำถามว่า ลูกน้อยจะมีความผิดรับของโจรหรือไม่
กรณีตัวอย่างนี้นะครับ ถ้าตีความแบบเจ้าหน้าที่ที่หาเรื่องหลวงพ่อธัมมชโยฯ รับรองได้เลยว่า ลูกน้อยคนนี้มีความผิดในข้อหารับของโจรแน่นอนครับ
เห็นตัวอย่างกันมั้ยครับ ว่าทำไมผมถึงบอกว่าเจ้าหน้าที่ตีความโดยไม่อาศัยหลักนิติรัฐ นิติธรรม เลยแม้แต่น้อย ใช้กฎหมายในทางที่ไม่เป็นธรรมต่อสังคม ที่สำคัญนะครับ ถ้าเจ้าหน้าที่มีอำนาจมากมายล้นฟ้าขนาดนี้ถึงขนาดกับจะยัดข้อหาให้ใคร หรือหลวงพ่อวัดไหน จะวัดพุทธวัดคริสต์ก็ได้ ก็ให้ข้อหารับของโจรไปเลย แบบนี้เป็นหายนะของสังคมนะครับ
สาเหตุแบบนี้จึงไม่ต้องแปลกใจ ว่าทำไมประชาชนถึงมองว่าเจ้าหน้าที่บางหน่วยงาน ทำตัวเป็นโจรรีดไถประชาชน คำตอบง่ายนิดเดียว “ก็ท่านใช้กฎหมายไม่เป็นธรรม จึงทำภาพลักษณ์เสียหาย” ก็ท่านทำตัวท่านเองทั้งนั้น
แล้วถ้าจะถามว่า ทำบุญเยอะขนาดนั้น ไม่สงสัยหรอว่าเงินนั้นมาจากไหน ตอบได้เลยครับว่า ไม่มีความน่าสงสัยเลย เพราะ นักการเมืองหรือทหารบางคนทำบุญเยอะกว่านี้อีก
ฝากผู้อ่านทุกท่านตรึกตรองดูให้ดี เรื่องแบบนี้จะปล่อยให้เป็นบรรทัดฐานของสังคมไม่ได้ หากท่านใดที่เป็นเจ้าหน้าที่ แล้วได้อ่านบทความนี้ ผมแนะนำให้เกียร์ว่างไว้นะครับ
ผมขอจบเรื่องรับของโจรไว้เพียงเท่านี้ สำหรับคราวหน้าจะเป็นเรื่องอะไรขอให้ติดตามอ่านกันนะครับ
ทนายวัด (ใจ)
25 มกราคม 2560