ท่องไปกับ..เส้นทาง(บุญ) สู่สังเวชนียสถาน 4 ตำบล ณ ดินแดน“อินเดีย”ให้เห็นอย่างที่เป็น อาจทำให้น้ำตาซึม
แน่นอน! ไม่ผิดเพี้ยนจากความเป็นจริง แต่พื้นที่ที่เป็นสายบุญ นมัสการสังเวชนียสถาน 4 ตำบล จากพาราณสี สู่ลุมพินี กุสินารา สิ้นสุดที่พุทธคยา ตลอด 8 วัน กลับได้รับมากกว่าสิ่งที่เห็น เพราะทำให้เราได้ “บุญ” และได้รู้จัก “ชีวิต” http://winne.ws/n13911
“ไปอินเดียแล้วจะปลงสังเวช” “ขอทานเต็มไปหมด ถ้าให้ 1 คนก็จะวิ่งกรูกันมาล้อม” “บ้านเมืองไม่ค่อยสะอาดนะ” “อาหารที่วางขายอย่าไปเสี่ยงซื้อกิน ท้องเสียได้ง่ายๆ” “ปวดท้องหนัก เบา ก็ต้องถ่ายในทุ่ง” สารพัดคำบอกเล่าเกี่ยวกับประเทศอินเดียจากผู้ที่เคยไปท่องเที่ยว
แน่นอน! ไม่ผิดเพี้ยนจากความเป็นจริง แต่พื้นที่ที่เป็นสายบุญ นมัสการสังเวชนียสถาน 4 ตำบล จากพาราณสี สู่ลุมพินี กุสินารา สิ้นสุดที่พุทธคยา ตลอด 8 วัน กลับได้รับมากกว่าสิ่งที่เห็น เพราะทำให้เราได้ “บุญ” และได้รู้จัก “ชีวิต”
“คม ชัด ลึก” มีโอกาสได้ร่วมเส้นทางสายบุญไปกับ “โครงการส่งเสริมพระสงฆ์และพุทธศาสนิกชนไปประกอบศาสนกิจ ณ สังเวชนียสถาน 4 ตำบล” โดยการสนับสนุนของกองทุนส่งเสริมการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ที่เป็นการรับสนองตามพระราชประสงค์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ 9 ในการสถาปนาจัดตั้งกองทุน มีกรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เป็นผู้ดำเนินการ โดยการเดินทางในครั้งนี้ พระธรรมสุธี รองเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และพระครูนิโครธบุญญากร (พระมหาน้อย) พระธรรมทูตสายประเทศอินเดีย-เนปาล เป็นพระธรรมวิทยากร
คณะผู้แสวงบุญที่มีทั้งพระสงฆ์และฆราวาส เริ่มต้นขึ้นที่ เมืองพาราณสี เมืองที่อยู่มานานนับพันๆ ปี ไม่เคยเปลี่ยนแปลง!!! โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ความศรัทธา” ทุกค่ำคืนในทุกๆ วัน ชาวพาราณสีจะไปยังริมฝั่งแม่น้ำคงคา เพื่อทำพิธี “คงคาอารตี” การบูชาพระแม่คงคา เช่นเดียวกับทุก ๆ เช้าที่จะมาอาบน้ำที่แม่น้ำคงคา และ "สุริยนมัสการ” เป็นการนมัสการพระอาทิตย์ ซึ่ง ณ ริมฝั่งมหานทีแห่งนี้ ในตอนเช้าตรู่ ยามที่พระอาทิตย์ค่อยๆ ทอแสงแรกของวันแล้วเปล่งรัศมีสาดส่องเป็นภาพที่งดงามเกินบรรยาย การนมัสการพระอาทิตย์จึงเปรียบประหนึ่งการมารับพลัง เพื่อให้สามารถทำกิจการงานในแต่ละวันได้อย่างเข้มแข็งทั้งกายและใจ
ก่อนเดินทางต่อไปยังจุดหมายแรกของสังเวชนียสถาน “ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน” เมืองสารนารถ รัฐอุตตรประเทศ สถานที่ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงปฐมเทศนา “ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร” โปรดปัญจวัคคีย์ พระมหาน้อยเล่าว่า บริเวณนี้เกือบตกไปเป็นสถานที่สำคัญของศาสนาเชน เพราะผู้นับถือระบุว่าเป็นสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับพระมหาวีระ ศาสดาของเชน แต่ในช่วงที่อังกฤษยังปกครองอินเดีย ได้สั่งให้ดำเนินการขุดค้นบริเวณนี้ จนพบว่ามีพระพุทธรูปที่ห่มจีวรจำนวนมาก ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของพุทธศาสนา เนื่องจากเชนจะไม่นุ่งจีวร อีกทั้งโดยรอบพื้นที่ยังมีการขุดพบที่บรรจุอัฐิพระอรหันต์อีกจำนวนมาก รวมถึงเสาพระเจ้าอโศกมหาราชทำด้วยหินสลักข้อความที่ทำให้รู้ว่าบริเวณนี้คือที่แห่งใดในสมัยกาลก่อน
พื้นที่ใกล้เคียงกันเป็นที่ตั้งของ “พิพิธภัณฑ์สารนารถ” แหล่งเก็บรักษาโบราณวัตถุที่ขุดค้นพบในสถานที่ดังกล่าว หนึ่งในนั้น คือ “พระพุทธรูปปางปฐมเทศนา” ที่งดงามที่สุดในโลก (แต่ภายในพิพิธภัณฑ์ห้ามถ่ายรูป) สร้างมาประมาณปี พ.ศ.800-1200 สร้างจากหินทราย ว่ากันว่า ส่งเข้าประกวดงานประติมากรรมกี่ครั้งก็ชนะเลิศทุกครั้ง จนมีการร้องขอไม่ให้นำเข้าประกวดอีก ฆราวาสที่เดินทางไปด้วยท่านหนึ่ง เมื่อเห็นถึงกับอุทานว่า “สวยงามมาก เป็นพระพุทธรูปที่เหมือนกับใบหน้าของพระพุทธเจ้าที่พี่นึกคิดไว้ว่าพระองค์จะมีใบหน้าจริงเช่นนี้”
ตำบลที่ 2 ต้องข้ามเขตแดนจากอินเดียไปเนปาล เพื่อเข้าสู่ ลุมพินีวัน สถานที่ประสูติ ซึ่งในสมัยพุทธกาลเต็มไปด้วยป่าสาละ อยู่ระหว่างเมืองกบิลพัสดุ์และเมืองเทวทหะ ปัจจุบันมีเนื้อที่ราว 2,000 ไร่ ถือเป็นวนอุทยานแห่งชาติ ภายในบริเวณมีการสร้างวิหารมายาเทวีที่มีรูปสลักพระสิริมหามายากำลังประสูติพระโอรสและรอยพระพุทธบาท(ภายในห้ามถ่ายรูป) เคียงข้างด้วยเสาอโศก ที่พระเจ้าอโศกมหาราชสร้างไว้เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้รับรู้ว่าจุดตรงนี้เป็นสถานที่ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประสูติ ด้านหน้าวิหารเป็นสระโบกขรณี ที่ซึ่งเชื่อว่าเป็นที่สรงสนานพระวรกายของพระพุทธเจ้าและพุทธมารดาในวันประสูติ
ออกจากเนปาลกลับสู่อินเดีย มุ่งตรงไปยังเมืองกุสินารา สถานที่ดับขันธปรินิพพาน ณ สาลวโนทยาน ซึ่งสมัยพุทธกาล กษัตริย์แห่งมัลละได้ประดิษฐานพระพุทธสรีระไว้ที่นี่เป็นเวลา 7 วันก่อนที่จะถวายพระเพลิง ณ มกุฎพันธนเจดีย์ ซึ่งอยู่ไม่ไกลกัน ปัจจุบันผู้แสวงบุญสามารถนมัสการปรินิพพานวิหาร ที่ภายในมีพระพุทธรูปปางไสยาสน์ ณ ที่แห่งนี้ สิ่งที่ไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้นกับพุทธศาสนิกชนหลายคนตามที่ได้ยินมา เป็นสิ่งผู้เขียนไม่อยากเชื่อ จนเกิดขึ้นกับตัวเอง
ขณะที่พระธรรมวิทยากรนำพระสงฆ์และฆราวาสสวดมนต์ และขึ้นบทสวดสรรเสริญพระพุทธคุณ ทำนองสรภัญญะ “องค์ใดพระสัมพุทธ....” น้ำตาผู้เขียนก็ไหลออกมา เช่นเดียวกับอีกหลายท่าน เป็นน้ำตาที่ไหลออกมาเอง ทั้งที่ในขณะนั้นภายในจิตใจไม่ได้นึกคิดสิ่งใดเลย เพียงแต่นึกถึงบทสวดที่สวดอยู่เท่านั้น เป็นสิ่งที่อธิบายได้ยากว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร
พระมหาน้อยบอกว่า ไม่ต้องหาคำตอบว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร เป็นปัจจัตตัง คือ รู้เฉพาะตน
ปิดท้ายการเดินทางที่ พุทธคยา สถานที่ตรัสรู้ โดยชาวพุทธทั่วโลกได้เสนอขอให้พุทธคยาขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจนสำเร็จในปี พ.ศ.2545 บริเวณภายในมีพระมหาเจดีย์พุทธคยา สูง 170 ฟุต เป็นเจดีย์ 2 ชั้น มีเจดีย์บริวารล้อม 4 ด้าน ชั้นบนประดิษฐานพระปางประทานพร ชั้นล่างประดิษฐานพระปางมารวิชัย มีอายุกว่า 1,400 ปี คนไทยเรียกว่า “พระพุทธเมตตา” พื้นที่ติดกันมีต้นพระศรีมหาโพธิ์ ปัจจุบันเป็นต้นที่ 4 ใต้ร่มโพธิ์นี้มีพระแท่นวัชรอาสน์ ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงใช้หญ้า 8 กำมือปูลาดประทับนั่งสมาธิเสวยวิมุตติสุข ปัจจุบันชาวพุทธจากทั่วโลกจำนวนมากจะเดินทางมานั่งสมาธิ ณ ที่แห่งนี้ และมีแท่นหินแนวตั้งที่พุทธศาสนิกชนนิยมแนบหน้าผากตั้งจิตอธิษฐานขอพร
เส้นทางจากตำบลหนึ่งสู่อีกตำบลหนึ่ง ยังได้แวะสักการะพุทธสถานที่สำคัญและสถานที่ที่มีปรากฏในพุทธประวัติอีกหลายสถานที่ อย่างเช่น เมืองสาวัตถี มีเชตวันมหาวิหาร สถานที่พระพุทธองค์ประทับอยู่นานที่สุด บริเวณธรณีสูบพระเทวทัต บ้านองคุลีมาล และขึ้นเขาคิชฌกูฏ ที่เมืองราชคฤห์ เป็นต้น แต่ที่ทรหดกว่าคือ การเดินทางระหว่างเมือง ด้วยถนนหนทางไม่ค่อยดี จึงใช้เวลานาน ขนาดระยะทางแค่ 204 กม. ยังใช้เวลาถึง 6 ชั่วโมง หากปวดหนักปวดเบาก่อนระยะเวลาราวๆ 4 ชั่วโมงหลังออกเดินทางจากแต่ละเมือง จำเป็นต้องนั่งทุ่งเพื่อขับถ่าย ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าอายอะไร เพราะที่นี่ถือเป็นเรื่องปกติ แต่หากทนได้จนถึงเวลาดังกล่าวก็หายห่วง แวะเข้าห้องน้ำวัดไทยที่อยู่ระหว่างเมืองได้
ตลอดเส้นทางของการเดินทาง ล้วนเป็นการเรียนรู้ที่น่าจดจำทั้งสิ้น จากการได้เห็นวิถีชีวิตของคนอินเดีย พระมหาน้อยบอกว่า บ้านที่ทำจากอิฐเหมือนกับสร้างไม่เสร็จนั้น เป็นการสะท้อนวิถีการอยู่อย่างเรียบง่าย เหตุไฉนต้องสร้างให้สวยงาม ในเมื่อเพียงเท่านี้เขาก็อยู่อาศัยได้แล้ว กองขี้วัวที่เห็นกองอยู่หน้าบ้านเป็นสิ่งหนึ่งที่ใช้วัดฐานะเจ้าของบ้านได้ หากกองยิ่งสูงก็หมายถึงมีเงินมาก เพราะนั่นคือ สินค้าโอท็อปที่สร้างรายได้ มีการทำเฉพาะที่รัฐอุตตรประเทศ และรัฐพิหารเท่านั้น แต่ส่งไปขายทั่วอินเดีย เพื่อเป็นเชื้อเพลิง เนื่องจากอินเดียมีการจ่ายไฟฟ้าค่อนข้างจำกัด การหุงหาอาหารยังจำเป็นต้องใช้เชื้อเพลิงชนิดนี้
การได้เห็นวิถีคนอินเดียตลอดเส้นทาง ทำให้ได้เรียนรู้และสัมผัสชีวิตที่เป็นชีวิตจริงๆ หากมองให้เห็นอย่างที่เขาเป็น ก็จะรับรู้ได้ว่าคนอินเดีย เป็นต้นแบบความพอดี พอเหมาะและพอเพียงอย่างแท้จริง
อานิสงส์จากการไปนมัสการสังเวชนียสถาน 4 ตำบล มีพุทธพจน์ตอนหนึ่งกล่าวถึงไว้ว่า “ในอนาคตกาล หากพุทธบริษัท 4 ได้สักการบูชาสังเวชนียสถาน 4 ตำบล ย่อมประสบบุญและกุศลสูงสุด”
เรื่อง / ภาพ : พวงชมพู ประเสริฐ
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://www.komchadluek.net/news/lifestyle/264309