ทำไมต้องทำบุญกับพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา เพราะความต่างของ"เนื้อนาบุญ"

อังกุรเทพบุตร* ซึ่งเคยนั่งอยู่ด้านหน้า ก็ถอยร่นไปตามกำลังบุญ นั่งอยู่ไกลถึง ๑๒ โยชน์ ส่วนอินทกเทพบุตรนั่งอยู่ที่เดิมใกล้พระพระพุทธเจ้าเช่นเดิม http://winne.ws/n17187

2.6 พัน ผู้เข้าชม

การถวายทานทำบุญในพระพุทธศาสนากับพระภิกษุสงฆ์

ทำไมต้องทำบุญกับพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา เพราะความต่างของ"เนื้อนาบุญ"

ทำไมต้องทำบุญกับพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา

พระพุทธเจ้าตรัสในทักขิณาวิภังคสูตรไว้ว่า 

"บุคคลให้ทานในสัตว์เดรัจฉานได้อานิสงส์ ๑๐๐ ชาติ

ให้ทานในผู้ทุศีล พึงหวังผล ๑ พันชาติ

ให้ทานในปุถุชนผู้มีศีล พึงหวังผล ๑ แสนชาติ

ให้ทานในบุคคลผู้ปราศจากความกำหนัดในกาม พึงหวังผลแสนโกฏิเท่า

ให้ทานในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำโสดาปัตติผลให้แจ้ง พึงหวังผลจนนับไม่ได้ ประมาณไม่ได้"

ดังมีตัวอย่างหนึ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ชัดเจน

มีพราหมณ์ ผู้ยากไร้คนหนึ่งชื่อ อินทกะ เป็นคนมีศรัทธาแต่ไม่มีทรัพย์ วันหนึ่งเขาได้เห็นพระอนุรุทธะบิณฑบาตผ่าน หน้าบ้าน ด้วยจิตที่เลื่อมใสจึงได้ถวายข้าวทัพพีหนึ่ง ด้วยบุญนั้น เมื่อละสังขารไปแล้วได้ไปบังเกิดเป็นอินทกเทพบุตรผู้มีรัศมีกายที่รุ่งเรืองสว่างไสวยิ่งกว่าอังกุรเทพบุตร*นั้นอีก

ความต่างแห่งเนื้อนาบุญ อังกุรเทวบุตรสมัยเป็นมนุษย์ให้ทานกับคนยากจนส่วนอินทกเทวบุตรทำบุญกับทักขิไณยบุคลผลบุญจึงแตกต่างกัน

ทำไมต้องทำบุญกับพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา เพราะความต่างของ"เนื้อนาบุญ"

อังกุรเทพบุตร* ซึ่งเคยนั่งอยู่ด้านหน้า ก็ถอยร่นไปตามกำลังบุญ นั่งอยู่ไกลถึง ๑๒ โยชน์ ส่วนอินทกเทพบุตรนั่งอยู่ที่เดิมใกล้กับพระพุทธองค์

ทำไมต้องทำบุญกับพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา เพราะความต่างของ"เนื้อนาบุญ"

  เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปประทับอยู่ ที่บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ เทวดาทั่วทั้งหมื่นโลกธาตุ พากันมานั่งประชุมเพื่อฟังธรรม ไม่มีเทพตนไหนที่จะมีรัศมีกายสว่างกว่า พระพุทธเจ้าเลย พุทธรัศมีนั้นสว่างไสวรุ่งโรจน์กว่ารัศมีใดๆ ของเทวดาทั้งหลาย เทวดาที่มีศักดิ์ใหญ่ มีบุญมาก ก็จะได้นั่งอยู่แถวหน้า ส่วนผู้ที่บุญน้อยกว่าก็จะถอยร่นออกไปเรื่อยๆ

  สมัยนั้น อังกุรเทพบุตร* ซึ่งเคยนั่งอยู่ด้านหน้า ก็ถอยร่นไปตามกำลังบุญ นั่งอยู่ไกลถึง ๑๒ โยชน์ ส่วนอินทกเทพบุตรนั่งอยู่ที่เดิมใกล้กับพระพุทธองค์ พระพุทธเจ้าได้ตรัสถามอังกุระว่า "อังกุระ เธอทำแถวเตาไฟยาว ๑๒ โยชน์ ให้ทานนานถึง ๑๐,๐๐๐ ปี บัดนี้เธอนั่งอยู่ไกลตั้ง ๑๒ โยชน์ซึ่งไกลกว่าเทพบุตร ทั้งหมด ไฉนเธอจึงนั่งอยู่ไกลนัก"

  อังกุรเทพบุตรกราบทูลว่า "ข้าแต่พระผู้มี พระภาคเจ้า ข้าพระองค์ได้บริจาคทานมากในสมัยที่เป็นมนุษย์ แต่เป็นทานที่ให้แก่มหาชนทั่วไป คือให้ทานในเวลาที่ปราศจากทักขิไณยบุคคล ส่วน อินทกเทพบุตรแม้ถวายทาน เพียงข้าวทัพพีเดียว แต่เพราะทำถูกทักขิไณยบุคคล จึงรุ่งเรืองกว่าข้าพเจ้า เหมือนดวงจันทร์รุ่งเรืองกว่าหมู่ดาวฉะนั้น"

ก็เพราะ ***ความต่างแห่งเนื้อนาบุญ***

ถ้าไม่มีทักขิไณยบุคคล ผลบุญที่เกิดขึ้นก็เหมือนหว่านพืชลงในนาดอน ผลที่เกิดขึ้นได้ผลไม่เต็มที่สมกับที่ได้ทุ่มเทลงไป

ทำไมต้องทำบุญกับพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา เพราะความต่างของ"เนื้อนาบุญ"

มาดูความใจบุญของคุณ"อังกุระ"

อังกุระ..ขนทรัพย์มรดกที่มีอยู่ทั้งหมดออกให้ทาน ป่าวร้องว่า "ใครหิวก็เชิญมากินตามชอบใจ ใครกระหายก็จงมาดื่มตามชอบใจ" แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ท่านเกิดในยุคสมัย ที่ไม่มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น ไม่มีเนื้อนาบุญแม้เพียงท่านเดียว แต่ท่าน ก็อุทิศตนให้กับการทำทานอย่างเต็มกำลัง

อังกุระได้ให้อาหารแก่ชาวเมืองวันละ ๖๐,๐๐๐ เล่มเกวียนเป็นประจำ มีพ่อครัว ๓,๐๐๐ คน เด็กหนุ่ม ๖๐,๐๐๐ คน ต่างก็ประดับต่างหูอันวิจิตรไปด้วยเพชรนิลจินดา ช่วยกันผ่าฟืนสำหรับหุงอาหาร ทำแถวเตาไฟยาว ๑๒ โยชน์ พวกหญิงสาว ๑๖,๐๐๐ คน ช่วยกันบดเครื่องเทศสำหรับปรุงอาหาร แล้วยังมีหญิงสาวอีก ๑๖,๐๐๐ คน แต่งตัวสวยงามราว กับนางฟ้ายืนถือทัพพีคอยตักอาหาร ให้คนที่มาขอด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ฝ่ายอังกุระได้มายืนมอบสิ่งของต่างๆ ด้วยมือของตนเอง ทำไปก็ปีติเบิกบาน

พระภิกษุสงฆ์คือเนื้อนาบุญของโลก การที่ได้มีโอกาสถวายทานกับทักขิไณยบุคคลนับเป็นมหากุศลที่ ยิ่งใหญ่

ทำไมต้องทำบุญกับพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา เพราะความต่างของ"เนื้อนาบุญ"

        เราจะเห็นได้ว่า บางครั้งแม้เรามีกุศลศรัทธาอยากจะให้ทาน ทรัพย์ก็พร้อม ศรัทธาก็เต็มเปี่ยม แต่ถ้าไม่มีทักขิไณยบุคคล ผลบุญที่เกิดขึ้นก็เหมือนหว่านพืชลงในนาดอน ผลที่เกิดขึ้นได้ผลไม่เต็มที่สมกับที่ได้ทุ่มเทลงไป 

ดังนั้น การที่ได้มีโอกาสถวายทานกับทักขิไณยบุคคลนับเป็นมหากุศลที่ ยิ่งใหญ่ บุญที่เกิดขึ้นจะไปปรับปรุงกาย วาจา ใจของเราให้มีความบริสุทธิ์ผ่องใส ทำให้ถึงพร้อมด้วยสมบัติทั้ง ๓ คือ 

มนุษย์สมบัติ 

สวรรค์สมบัติ 

และนิพพานสมบัติ


ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก

https://specialcasestudy.blogspot.com/2016/11/blog-post.html?m=1

www.google.co.th

แชร์