มิลินทปัญหา ปัญหาที่ ๗, อภิสมยันตรายกรปัญหา ผู้ต้องอาบัติปาราชิกจะบรรลุธรรมได้หรือไม่

คำอธิบายปัญหาที่ ๗ : ปัญหาเกี่ยวกับบุคคลผุ้มีธรรมที่ทำอันตรายแก่การตรัสรู้ธรรมชื่ิอว่า อภิสมยันตรายกรปัญหา. คำว่า เป็นผู้ต้องปาราชิก ความว่า บุคคลชื่อว่า " ปาราชิก - ผู้แพ้ “ เพราะไม่อาจเจริญสิกขาบท ๓ เพื่อการตรัสรู้ธรรมชนะกิเลสทั้งหลายได้ http://winne.ws/n18985

2.7 พัน ผู้เข้าชม
มิลินทปัญหา ปัญหาที่ ๗, อภิสมยันตรายกรปัญหา ผู้ต้องอาบัติปาราชิกจะบรรลุธรรมได้หรือไม่

***" ขุททกนิกาย มิลินทปัญหาบาฬีแปลไทยเล่มที่ ๔ , ภาคที่ ๓ (เล่มจบ) “  นมตฺถุ   รตนตยสฺส   ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย "***

 กถาวัตถุว่าด้วยนครอันเป็นที่อุบัติแห่งปัญหา

๑,   ณ    สาคลนครอันเป็นเมืองอุดมพระราชาพระองค์หนึ่งมีพระนามว่าพระเจ้ามิ ลินท์พระองค์นั้นได้เสด็จเข้าไปหาพระนาคเสน เพื่อถามปัญหาในกัณฑ์ที่ ๕, อนุมานปัญหา  วรรคที่ ๑, พุทธวรรค.

ปัญหาที่ ๗, อภิสมยันตรายกรปัญหา

    พระเจ้ามิลินท์. " " พระคุณเจ้านาคเสน คฤหัสถ์คนใดคนหนึ่งในโลกนี้เป็นผู้ต้องปาราชิก  ในสมัยต่อมาอีก  คฤหัสถ์ผู้นั้นได้บวช,    ทั้งด้วยตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่า '  เราเป็นคฤหัสถ์ผู้ต้องปาราชิก ', ทั้งใครคนอื่นก็ไม่ได้บอกเขาว่า ' ท่านเป็รคฤหัสถ์ผู้ต้องปาราชิก '. ก็คฤหัสถ์ผู้นั้นพึงปฏิบัติเพื่อความเป็นผู้ตรัสรู้ธรรมนั้น,  เขาจะพึงมีการตรัสรู้ธรรมได้หรือไม่หนอ ?“

   พระนาคเสน  : " ขอถวายพระพร  เขาจะมีการตรัสรู้ธรรมมิได้ .“

    พระเจ้ามิลินท์  : " เพราะเหตุไรหรือ  พระคุณเจ้า .“

พระนาคเสน  : " เหตุเพื่อการตรัสรู้ธรรมใด, เขาขาดเหตุนั้น, เพราะฉะนั้น จึงไม่มีการตรัสรู้ธรรม.“

   พระเจ้ามิลินท์  :" พระคุณเจ้านาคเสน พวกท่านกล่าวกันว่า 'เมื่อรู้อยู่ ก็ย่อมมีกุกกุจจะ (ความหงุดหงิดใจ, ความกลัดกลุ้มใจ) เมื่อมีกุกกุจจะก็ชื่อว่ามีเครื่องขวางกั้น,  เมื่อจิตถูกขวางกั้นก็ย่อมไม่มีการตรัสรู้ธรรม ' ดังนี้ .

   ก็แต่ว่า  สำหรับบุคคลผู้ไม่รู้อยู่ (ว่าตนต้องปาราชิก) ไม่เกิดกุกกุจจะ มีจิตสงบอยู่นี้เพราะเหตุไร จึงหาการตรัสรู้ธรรมมิได้เล่า.  ปัญหานี้ ย่อมถึงแก่ท่านผู้หาใครเสมอเหมือนมิได้,  ขอท่านจงคลี่คลายปัญหานั้นเถิด.“

   พระนาคเสน  : " ขอถวายพระพร  พืชที่มีประโยชน์ที่เขาฝังไว้อยู่อย่างดีในท้องไร่ท้องนาอันไถพรวนดีแล้ว

   อันทำให้เป็นดินเปียกนุ่มดีแล้ว  ย่อมงอกงามได้มิใช่หรือ ?“

พระเจ้ามิลินท์. : " ใช่  ย่อมงอกงามได้  พระคุณเจ้า,“

   พระนาคเสน : " ขอถวายพระพร  พืชอันเดียวกันนั้นนั่นแหละ พึงงอกงามบนพื้นหินแห่งภูเขาทึบตัน ได้หรือไม่ ?“

   พระเจ้ามิลินท์  : “ มิได้หรอก พระคุณเจ้านาคเสน.“

พระนาคเสน : " ขอถวายพระพร  เพราะเหตุไรบนดินเปียกนุ่ม พืชนั้นนั่นแหละจึงงอกงามได้, เพราะเหตุไรบนเขาหิยทึบตันจึงงอกงามไม่ได้ ? “

   พระเจ้ามิลินท์ : " พระคุณเจ้านาคเสน บนภูเขาหินทึบตันไม่มีเหตุเพื่อให้พืชนั้นงอกงาม พืชไม่งอกงามเพราะไม่มีเหตุ .“

    พระนาคเสน  : " ขอถวายพระพร อุปมาฉันใด อุปมัยก็ฉะนนั้นเหมือนกัน บุคคลนั้นจะพึงมีการตรัสรู้ธรรมได้ เพราะอาศัยเหตุใด,  เขาขาดเหตุนั้นไป,  เพราะไม่มีเหตุ เขาจึงไม่มีการตรัสรู้ธรรม.

   ขอถวายพระพร  อีกอย่างหนึ่ง เปรียบเหมือนว่า ท่อนไม้ ก้อนหิน ไม้ตะบอง ไม้ค้อน ย่อมถึงความตั้งอยู่ได้บนพื้นดิน, ขอถวายพระพร ท่อนไม้ ก้อนหิน ไม้ตะบอง ไม้ค้อน เหล่านั้นนั่นแหละพึงถึงความตั้งอยู่ในกลางหาวได้หรือไม่ ? “

   พระเจ้ามิลินท์  : " มิได้หรอก พระคุณเจ้านาคเสน .“

พระนาคเสน : " มีเหตุอะไรในเรื่องนี้เล่า ที่ทำให้ท่อนไม้ ก้อนหิน ไม้ตะบอง ไม้ค้อนเหล่านั้นนั่นแหละ ถึงความตั้งอยู่ได้บนพื้นดินได้, เพราะเหตุไร ท่อนไม้เหล่านั้นนั่นแหละจึงตั้งอยู่ในกลางหาวมิได้ ?“ 

   พระเจ้ามิลินท์  :" เหตุที่ทำให้ท่อนไม้ ก้อนหิน ไม้ตะบอง ไม้ค้อนเหล่านั้นนั่นแหละ ตั้งอยู่ในอากาศได้ หามีไม่, เพราะไม่มีเหตุ จึงตั้วอยู่ไม่ได้.“

   พระนาคเสน  :" ขอถวายพระพร  อุปมาฉันใด อุปมัยก็ฉะนนั้นเหมือนกัน บุคคลผู้นั้นจะพึงมีการตรัสรู้ธรรมได้ เพราะอาศัยเหตุใด, เขาขาดเหตุนั้นไป,  เพราะไม่มีเหตุ เขาจึงไม่มีการตรัสรู้ธรรม.

มิลินทปัญหา ปัญหาที่ ๗, อภิสมยันตรายกรปัญหา ผู้ต้องอาบัติปาราชิกจะบรรลุธรรมได้หรือไม่

     ขอถวายพระพร  อีกอย่างหนึ่ง เปรียบเหมือนว่า ไฟย่อมลุกโพลงได้บนบก,  ขอถวายพระพร  ไฟนั้นนั่นแหละ ย่อมลุกโพลงในน้ำได้หรือได้หรือหนอ ? "

 พระเจ้ามิลินท์  : " มิได้หรอก พระคุณเจ้านาคเสน .“

   พระนาคเสน. : " มีเหตุอะไรในเรื่องนี้เล่า ที่ทำให้ไฟนั้นนั้นแหละ ลุกโพลงบนบกได้,  เพราะเหตุไรจึงลุกโพลงในน้ำมิได้ ? “

     พระเจ้ามิลินท์  : “ เหตุที่ทำให้ไฟนั้นนั่นแหละ ลุกโพลงในน้ำได้  หามีไม่,  เพราะไม่มีเหตุ จึงลุกโพลงไม่ได้,“

   พระนาคเสน  :" ขอถวายพระพร  อุปมาฉันใด อุปมัยก็ฉะนนั้นเหมือนกัน บุคคลผู้นั้นจะพึงมีการตรัสรู้ธรรมได้ เพราะอาศัยเหตุอันใด,  เขาขาดเหตุนั่้นไป, เพราะไม่มีเหตุ เขาจึงไม่มีการตรัสรู้ธรรม, “

   พระเจ้ามิลินท์  :" พระคุณเจ้านาคเสน ขอท่านจงคิดอรรถาธิบายข้อนี้อีกครั้งหนึ่งเถิด , 

  

    ในข้อที่ว่า เมื่อไม่รู้อยู่ก็ไม่ทีกุกุจจะ เมื่อไม่มีกุกกุจจะก็ไม่มีสิ่งขวางกั้น ดังนี้นั้น  ข้าพเจ้ายังไม่ทีความเข้าใจ, ขอท่านจงทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจด้วยเหตุผลเถิด.“

   พระนาคเสน  : " ขอถวายพระพร  ยาพิษที่แรงกล้า ที่บุคคลไม่รู้ไปกินเข้า ย่อมคร่าชีวิตได้มิใช่หรือ ?“ 

    พระเจ้ามิลินท์. : " ใช่  ย่อมคร่าชีวิตได้ พระคุณเจ้านาคเสน. “

พระนาคเสน  : ขอถวายพระพร  อุปมาฉันใด  อุปมัยก็ฉันนั้นเหมือนกัน บาปที่บุคคลผู้แม้ไม่รู้กระทำ  ย่อมเป็นสิ่งทำอันตรายต่อการตรัสรู้ได้.

   ขอถวายพระพร  อนึ่ง อสรพิษกัดผู้ที่ไมีรู้ก็ย่อมคร่าชีวิตได้มิใช่หรือ ?" 

     พระเจ้ามิลินท์  : " ใช่  ย่อมคร่าชีวิตได้ พระคุณเจ้า .“

พระนาคเสน  : " ขอถวายพระพร  อุปมาฉันใด  อุปมัยก็ฉะนนั้นเหมือนกัน  บาปที่บุคคลผู้แม้ไม่รู้กระทำ ย่อมเป็นสิ่งทำอันตรายต่อการตรัสรู้ได้.

    ขอถวายพระพร  พระเจ้ากาลิงคะผู้มาจากสกุลสมณะ ผู้เเกลื่อนกล่นด้วยแก้ว ๗ ประการ เสด็จขึ้นหลังช้างแก้วไปเยี่ยมสกุลแม้ว่าพระองค์ไม่ทรงรู้อยู่  ก็ไม่อาจเสด็จข้ามไปเหนือแดนตรัสรู้ได้,  เรื่องพระเจ้ากาลิงคะนี้  เป็นเหตุผลในข้อที่ว่า บาปที่บุคคลผู้แม้ไท่รู้กระทำเข้า ก็ย่อมเป็นสิ่งอันตรายต่อการตรัสรู้ธรรม นี้,“

   พระเจ้ามิลินท์ : " พระคุณเจ้านาคเสน เหตุผลที่พระชินวรพุทธเจ้าตรัสไว้ใคร ๆ ไม่อาจปฏิเสธได้  คำอรรถาธิบายในเรื่องนี้  ข้าพเจ้าขอยอมรับคำตอบที่ท่านกล่าวมานั้น,“

จบอภิสมยันตรายกรปัญหาที่ ๗

คำอธิบายปัญหาที่ ๗ :  ปัญหาเกี่ยวกับบุคคลผุ้มีธรรมที่ทำอันตรายแก่การตรัสรู้ธรรมชื่อว่า  อภิสมยันตรายกรปัญหา.

  คำว่า เป็นผู้ต้องปาราชิก  ความว่า บุคคลชื่อว่า " ปาราชิก - ผู้แพ้ “  เพราะไม่อาจเจริญสิกขาบท ๓ เพื่อการตรัสรู้ธรรม ชนะกิเลสทั้งหลายได้ เหตุพราะมีธรรมที่สร้างอันตราย คือขัดขวางการเจริญสิกขาบท ๓ เพื่อดการตรัสรู้นั้น.  ได้แก่ เป็นผู้ถึงความเป็นปาราชิกดังกล่าวนี้.

       ก็บุคคลผู้เป็นปาราชิก มี ๒๔ จำพวก. ใน ๒๔ ตระหนี่ ทีแรก ๘ จำพวกก่อน  คือภิกษุผู้ต้องอาบัติปาราชิก ๔ ข้อ นับเป็น ๔ จำพวก .  และภิกษุณีผู้ต้องอาบัติปาราชิก ๔ ข้อนับเป็น ๔ จำพวก .  บุคคล ๘ จำพวกนี้ สิ้นความเป็นสมณะแล้วหากว่ายังครองเพศสมณะ ปิดบัง  ไม่ประกาศความสิ้นความเป็นสมณะของตนให้ภิกษุรูปอื่นทราบ แล้วลาสิกขาเวียนกลับมาสู่เพศฆราวาสแล้ว ก็ไม่อาจตรัสรู้ธรรมคืออริยสัจจธรรมทั่ง ๔  ได้ย่อมไม่อาจแม้เพียงมทำวิปัสสนาญาณทั้งหลายให้เกิดได้.

   ต่อมา ได้แก่ อภัพพบุคคล (บุคคลผู้อาภัพต่อการตรัสรู้ธรรม) ๑๑ จำพวก ใน ๑๑ จำพวกนี้ ๓ จำพวก คือ บัณเฑาะก์ (กะเทย) คน ๒ เพศ และสัตว์เดรัจฉาน เป็นอภัพพบุคคลไม่อาจตรัสรุ้ะรรมได้เพราะมีวัตถุวิบัติ (คือมีปฏิสนธิจิตเป็นเหตุกะซึ่งอ่อนแอ ไม่อาจรองรับคุณธรรมชั้นสูงได้)  แม้พระตถาคตป็ทรงปฏิเสธการบวช. บุคคล ๓ จำพวกนี้ แม้ไม่อาจตรัสรู้ธรรมได้ ก็อาจทำบุญไปสวรรค์ได้.

   ส่วนอีก ๘ จำพวก คือ ผู้ปลอมบวช ซึ่งหมายถึงผู้บวชเองไม่มีอุปัชฌอาจารย์    ผู้เข้ารีดเดียรถีย์ (เปลี่ยนความนับถือไปนับถือลัทธิเดียรถีย์นั่นเอง) ผู้ฆ่ามารดา  ผู้ฆ่าบิดา  ผู้ฆ่าพระอรหันต์  ผู้ทำพระโลหิตของพระพุทธเจ้าให้ห้อขึ้น  ผู้ยุยงสงฆ์ให้แตกกัน และผู้ประทุษร้ายพระภิกษุณี ชื่อว่าเป็นคนอาภัพไม่อาจตรัสรู้ธรรมได้เพราะมีกิริยาวิบัติ กล่าวคือ ผู้ปลอมบวชและผู้เข้ารีดเดียรถีย์ (ที่เข้ามาบวชในพระศาสนานี้)  มีกิริยาคือการกระทำที่วิบัติคือเป็นโทษ ที่พระพุทธเจ้าทรงห้ามการบวช   แต่บุคคลเหล่านี้อาจทำบุญเพื่อไปสวรรค์ได้  

    ผู้กระทำอนันตริยกรรรม ๕ อย่าง มีฆ่ามารดาเป็นต้น รวม ๕ จำพวก มีกิริยาวิบัติคือทำกรรมหนักเกินไปทั้งพระองค์ก็ทรงห้ามการบวชของบุคคลเหล่านี้

   การกระทำของบุคคลเหล่านี้  เป็นทั้งสัคคาวรณ์ คือห้ามการไปสวรรค์ เป็นทั้งมัคคาวรณ์ คือห้ามการบรรลุมรรค

   เพราะฉะนั้น จึงไม่อาจตรัสรู้ธรรมได้.  ส่วนผู้ประทุษร้ายภิกษุณี ก็มีกิริยาวิบัติเกี่ยวกับมีการทำร้ายทุบตีเป็นต้น  ต่อพระภิกษุณีนั่น ทั้วพระองค์ก็ทรงห้ามการบวช.  ๑๑ จำพวกดังกล่าวนี้ รวม ๘ จำพวกข้างต้น ก็เป็นปาราชิก ๑๙ จำพวก .

   ยังมีอีก ๕ จำพวก  คือภิกษุณีที่เกิดความยินดีชอบใจในเพศฆราวาส แม้บวชเป็นภิกษุณีแล้ว ก็เวียนกลับมาอยู่คลุกคลีกับพวกฆราวาส ทำเวลาให้ล่วงลไปโดยมากด้วยการทำกิจน้อยใหญ่ร่วมกับพวกฆราวาส ราวกะว่าตนเป็นฆราวาสผู้หนึ่ง  หาความสำนึกสำเนียกว่า " เราเป็นสมณะ" มิได้ .  แม้ไม่มีความประพฤติที่นับว่าอัชฌาจาร(ความประพฤติเกินเลยขอบเขต คือการเสพเมนถุน) ก็ถึงความเป็นปาราชิก  หาการตรัสรู้ธรรมมิได้, พวกที่ท่านเรียกว่า " ลัมพี "  เพราะเหตุที่มีองคชาตยาวเกินปกติคนทั่วไป ก็อย่างนั้น .

   พวกที่ท่านเรียกว่า " มุทุปิฏฐกะ - คนหลังอ่อน "   อันได้แก่พวกนักฟ้อนรำที่พยายามดัดร่างกายของตนให้อ่อนราวกะไม่มีกระดูกเพื่อประโยชน์แก่การฟ้อนรำของตน  ก็หาการตรัสรู้ธรรมมิได้, 

   พวกที่ชอบเสพเมถุนโดยโดยการสอดใส่องคชาตของตนเข้าปากผู้อื่นก็หาการตรัสรู้ธรรมมิได้.

   และพวกที่ชอบชื่มยินดีองคชาตของผู้อื่น ก็หาการตรัสรู้ธรรมมิได้.   บุคคล ๕ จำพวกเหล่านี้ หาการตรัสรู้ธรรมมิได้เพราะมีราคะหนาแน่นเกินไป แม้เพียงวิปัสสนาญาณก็ไม่อาจทำให้เกิดขึ้นได้, 

มิลินทปัญหา ปัญหาที่ ๗, อภิสมยันตรายกรปัญหา ผู้ต้องอาบัติปาราชิกจะบรรลุธรรมได้หรือไม่

   รวมบุคคลผู้เป็นปาราชิกได้ ๒๔  จำพวก ตามประการดังกล่าวมานี้ 

        ใน  ๒๔ นำสหรัฐคน พวกที่ต้องอาบัติ ๒ ฝ่าย ๘ จำพวก พวกที่ยุยงให้แตกกัน . พวกที่ปลอมบวช , พวกเข้ารีตเดียรถีย์และภิกษุณีที่ยินดีในเพศฆราวาส ชื่อว่า " ภิกฺษุปาราชิก “ (ชื่อนี้หมายรวมทั้งภิกษุทั้งภิกษุณี) เพราะถึงความเป็นปาราชิกเมื่อได้บวชครองเพศเป็นภิกษุหรือภิกษุณี  หากยังมิได้บวชก็ยังไม่ถึงความเป็นปาราชิก.

   ส่วนพวกที่เหลือ มีพวกที่มีวัตถุวิบัติเป็นต้น ชื่อว่า " คิหิปาราชิก "  เพราะแม้ไม่ได้บวชยังถือเพศคฤหัสถ์นั่นเทียว  เมื่อมีความเป็นอย่างนั้น ก็เป็นปาราชิกได้. พระเจ้ามิลินท์ทรงหมายเอาพวกคิหิปาราชิกเหล่านี้  ปรารภแต่งเป็นปัญหาถามพระนาคเสน.

   ก็คนเหล่านี้ แม้หากว่าพระพุทธเจ้าไม่ทรงบัญญัติสิกขาบทห้ามการบวชไว้  แม้มีโอกาสได้บวช  เพราะเหตุที่ตนเองไม่รู้ถึงความเป็นปาราชิกของตนก็ดี   พระอุปัชฌาย์เป็นต้นไม่รู้ก็ดี

  ได้บวชแล้ว แม้มีโอกาสได้ประพฤติปฏิบัติธรรมมากมายเพียงใดก็ตาม ก็ไม่อาจตรัสรู้ธรรมได้เลย เมื่อเป็นเช่นนี้ จะกล่าวไปไย ในคราวที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติสิกขาบทการห้ามบวชไว้แล้วเล่า.

    คำว่า เหตุเพื่อการตรัสรู้ธรรมใด, เขาขาดเหตุนั้น

 ความว่า การเจริญสิกขา ๓ อันเป็นส่วนเบื้องต้นซึ่งเป็นเหตุแห่งการตรัสรู้อริยสัจจธรรมในการใด, เขาขาดเหตุนั้นไป.

เพราะเหตุไรจึงขาด ?  เพราะเหตุที่ตนเป็นคนปาราชิก  เพราะฉะนั้นจึงไม่อาจทำเหตุนั้นได้.

 

   อธิบายว่า ความไม่รู้ตนเองว่า ตนเป็นคนปาราชิก ไม่มีความกลัดกลุ้มในเรื่องนี้ มิได้เป็นเหตุช่วยให้มีการตรัสรู้ธรรม.

จบคำอธิบายปัญหาที่ ๗


ขอบคุณข้อมูลจาก

https://timeline.line.me/post/_dS3FLgrSq6SI_rsKRPIV7thw8e7XG7X5h1AYago/1150580940906043714

ภาพจาก www.dmc.tv

www.google.co.th

แชร์