สงครามน้ำ: กรณีศึกษา..การแย่งชิงทรัพยากร ‘น้ำ’ ของชาวศากยะ&ชาวโกลิยะ” สมัยพุทธกาล

ผลจากความสัมพันธ์ในเชิงการเมืองการปกครองระหว่างแคว้นทำให้แคว้นทั้งสองตกลงใจสร้างเขื่อนขึ้นมาเพื่อเก็บกักน้ำเอาไว้ใช้เพื่อประโยชน์ในเชิงเกษตรกรรม การตกลงใจในการสร้างเขื่อนทำให้เราได้มองเห็นหุ้นส่วนทางด้านเศรษฐกิจ http://winne.ws/n19444

3.6 พัน ผู้เข้าชม
สงครามน้ำ: กรณีศึกษา..การแย่งชิงทรัพยากร ‘น้ำ’ ของชาวศากยะ&ชาวโกลิยะ” สมัยพุทธกาล

สงครามน้ำ: ศึกษากรณีการแย่งชิงทรัพยากร ‘น้ำ’ ของชาวศากยะ&ชาวโกลิยะ” (๑) โดย รศ.ดร. พระมหา หรรษา นิธิบุณยากร

               ศากยวงศ์ และโกลิยวงศ์ มีความสัมพันธ์ทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ และการปกครอง  โดยมีพระเจ้าราม และพระนางปิยาเป็นผู้เชื่อมโยงวงศ์ทั้งสองเข้าด้วยกัน  

              นอกจากนั้นพระราชบุตร และพระราชธิดาของชาวแคว้นทั้งสองทำการอภิเษกสมรสซึ่งกันและกัน  การอภิเษกสมรสระหว่างกลุ่มชนทั้งสอง นอกจากสะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตและการดำรงอยู่ร่วมกันแล้ว  ยังสะท้อนให้เห็นถึงความแนบแน่นในเชิงเมือง เศรษฐกิจ และสังคมด้วย

             จะเห็นว่า  ผลจากความสัมพันธ์ในเชิงการเมืองการปกครองระหว่างแคว้นทำให้แคว้นทั้งสองตกลงใจสร้างเขื่อนขึ้นมาเพื่อเก็บกักน้ำเอาไว้ใช้เพื่อประโยชน์ในเชิงเกษตรกรรม   การตกลงใจในการสร้างเขื่อนทำให้เราได้มองเห็นหุ้นส่วนทางด้านเศรษฐกิจที่ค่อนข้างชัดเจน  นอกเหนือจากหุ้นส่วนทางวัฒนธรรม ประเพณี  และการเมืองระหว่างประเทศ

             แม่น้ำที่ทั้งสองรัฐได้เลือกที่จะสร้างเขื่อนก็คือ “แม่น้ำโรหิณี”  ซึ่งแม่น้ำสายนี้มีต้นน้ำ อยู่ที่ ภูเขาหิมาลัย  และไหลผ่านกลางเมืองทั้งสอง      ในขณะเดียวกัน แม่น้ำสายนี้ก็ถือได้ว่าเป็นเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างแคว้นทั้งสอง[1]  จะเห็นว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานั้นแคว้นทั้งสองมิได้มีข้อพิพาทในเรื่องเขตแดน  สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า แม่น้ำได้กลายเป็นเส้นแบ่ง         อย่างชัดเจน

             กษัตริย์ทั้งสองแคว้นได้ช่วยกันสร้างเขื่อนกั้นน้ำขึ้นมา  โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะ  เก็บกักน้ำไปใช้ประโยชน์ในเชิงเกษตรกรรม  นอกจากนั้นแล้ว  ผู้วิจัยมองว่าน่าจะมีหวังผลในเชิงการประมงด้วย   ในขณะเดียวกัน  เขื่อนดังกล่าวได้ทำหน้าที่ประดุจสะพานในการเชื่อมจิตใจของประชาชนในดินแดนทั้งสองแคว้นให้เป็นหนึ่งเดียว เป็นการดำรงอยู่อย่างมีเอกภาพทั้งในแง่ภูมิศาสตร์ เศรษฐกิจ  การเมือง สังคม และความเป็นชาติพันธุ์เดียวกันด้วย

             ตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น  ราชวงศ์และชาวเมืองทั้งสองแคว้นมีความปรองดองกัน ได้รับประโยชน์จากทรัพยากรทางธรรมชาติร่วมกัน ซึ่งมีแนวคิดในการดำเนินนโยบายแบบ    “หนึ่งกลุ่มเศรษฐกิจสองประเทศ” ที่ต่างฝ่ายก็ได้รับประโยชน์จากการดำเนินนโยบายในลักษณะดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นการใช้สอยทรัพยากรธรรมชาติร่วมกัน  และยังน่าจะรวมไปถึงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ความรู้ ระหว่างรัฐต่อรัฐ โดยมิได้มีความขัดแย้ง หรือมีข้อพิพาทเพื่อแย่งสิทธิของ     การเป็นเจ้าของทรัพยากรทางธรรมชาติในด้านใดด้านหนึ่งแต่ประการใด

             อย่างไรก็ตาม  ร่องรอยของความเสื่อมถอยเกี่ยวกับการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเริ่มปรากฏชัดขึ้น เมื่อภัยแล้งซึ่งเกิดขึ้นในช่วงก่อนฤดูกาลเก็บเกี่ยว   แม่น้ำโรหิณีซึ่งเคยอุดมสมบูรณ์ สถานการณ์น้ำลดเริ่มปรากฏขึ้น  จึงทำให้ชาวเมืองทั้งสองเกิดความวิตกว่าน้ำที่มีอยู่อาจจะไม่เพียงพอเพราะข้าวกล้าเริ่มเหี่ยวเฉาลง  ด้วยเหตุนี้  ชาวเมืองทั้งสองเริ่มตั้งโจทย์ว่า น้ำที่เหลือในแม่น้ำโรหิณีจะเพียงพอแก่ข้าวกล้าในแคว้นทั้งสองได้อย่างไร ชาวโกลิยะท่านหนึ่งได้นำเสนอทางออกว่า “ถึงอย่างไร  น้ำที่ปิดกั้นเอาไว้นี้  ถ้าปล่อยเข้านาทั้งสองฝ่าย  ก็ไม่พอเพียงแก่ต้นข้าวของพวกเรา และพวกท่าน  ก็ข้าวกล้าของพวกเราจักสำเร็จเพราะน้ำคราวเดียวเท่านั้น พวกท่านจงให้น้ำนี้แก่พวกเราเถิด”[2]

             จากข้อความในลักษณะดังกล่าว ทำให้กลุ่มชาวศากยะต้องการน้ำเช่นเดียวกัน มีความหวาดระแวงสงสัยต่อข้อเสนอของชาวโกลิยะที่ต้องการอ้างสิทธิในการครอบครองน้ำเพียงฝ่ายเดียว   ด้วยเหตุที่ชาวนาของแคว้นศากยะมีตัณหา มานะ และทิฐิเป็นเจ้าเรือนเช่นเดียวกัน  จึงได้ประกาศขึ้นมาในท่ามกลางที่ประชุมว่า “เมื่อพวกท่านทำฉางให้เต็มแล้ว  พวกข้าพเจ้าจักไม่อาจถือเอาทองที่มีสีสุก แก้วสีเขียว แก้วสีดำ  และกหาปณะ แล้วมีกระเช้าและกระสอบเป็นต้นในมือ  เที่ยวไปที่ประตูเรือนของพวกท่าน”[3] ซึ่งคำกล่าวในลักษณะนี้แสดงให้ถึงท่าทีที่รับไม่ได้กับข้อเสนอดังกล่าว  เพราะหากทำเช่นนี้แล้ว  ชาวศากยะก็จะเป็นประดุจ “คนไร้ศักดิ์ศรี”  เพราะประวัติศาสตร์ทางชาติพันธุ์ของชาวศากยะมีนัยที่เป็นตัวขัดขวางการกระทำในลักษณะดังกล่าว ด้วยเหตุนี้  ชาวศากยะจึงไม่ยินยอมตามข้อเสนอเบื้องต้นที่ชาวโกลิยะได้เสนอ ฉะนั้น  การเจรจา  ตกลงในเบื้องต้นจึงประสบความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง

             อย่างไรก็ตาม  เพื่อเป็นการตอกย้ำหลักการและเหตุผลให้มีน้ำหนักมากยิ่งขึ้น ชาวศากยะจึงได้ยกเหตุผลเชิงประจักษ์ย้อนกลับไปถามชาวโกลิยะเช่นเดียวกันว่า “ข้าวกล้าของข้าพเจ้าก็จักสำเร็จด้วยน้ำคราวเดียวเหมือนกัน  พวกท่านจึงควรให้น้ำแก่พวกข้าพเจ้าเถิด”[4]  การกล่าวในลักษณะนี้ เมื่อวิเคราะห์แล้วพบว่า ในความเป็นจริงแล้วพวกชาวศากยะก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้วว่า เป็นไปไม่ได้ที่ชาวโกลิยะจะยอมรับโดยดุษณีภาพ สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า เงื่อนไขนี้ได้รับการนำเสนอโดยชาวโกลิยะเป็นเบื้องแรก  ฉะนั้น  คำตอบที่ได้รับย่อมมีนัยที่สอดรับกันทั้งสองฝ่าย นั่นก็คือ “พวกเราจักไม่ให้” 

             คำว่า “พวกเราจักไม่ให้” ชี้ว่า การเจรจาต่อรองในรูปแบบ “ทวิภาคี” พบกับทางตันจนไม่สามารถหาทางออกร่วมกันได้  ประเด็นที่น่าวิเคราะห์อย่างยิ่งคือว่า  เพราะเหตุไร  การเจรจาต่อรองในลักษณะดังกล่าว  ประสบความล้มเหลว  เมื่อวิเคราะห์จากทฤษฎีการเจรจาต่อรอง[5] (Negotiation)  ทำให้เราพบความจริงอยู่ประการหนึ่งว่า การเจรจาใดที่มุ่งผลประโยชน์ เป้าหมายหรือความต้องการของตนแต่เพียงฝ่ายเดียว  โดยที่คนอื่นกำลังเสียเปรียบนั้น  การเจรจานั้นจะประสบความล้มเหลว[6] ดังจะเห็นได้จากแผนภูมิ

           ในกรณีการเจรจาต่อรองของชาวโกลิยะและศากยะก็เช่นเดียวกัน เมื่อต่างฝ่ายต่างก็มุ่งไปที่จุดยืน (Position) ของตนเองแต่เพียงฝ่ายเดียวโดยมิได้สนใจฝ่ายตรงข้าม  จึงทำให้การเจรจาเรื่อง “น้ำ” ล้มเหลวลง อย่างไรก็ตาม เมื่อผลการเจรจาออกมาในเชิงลบ  แทนที่ทั้งสองฝ่ายจะแยกจากกันเพื่อไปร่วมประชุมในกลุ่มของตนเองเพื่อยกร่างแผนแม่บท (Road Map) การจัดสรรทรัพยากรน้ำ อันจะนำไปสู่การร่วมประชุมในเชิงทวิภาคีเพื่อหาทางออกอีกครั้ง   โดยการเห็นชอบของผู้ปกครองในระดับสูงต่อไป   แต่สถานการณ์ความรุนแรงได้ปะทุขึ้นมาแทนที่  เมื่อคู่เจรจาทั้งสองฝ่ายไม่สามารถ “แยกอารมณ์ออกจากคน  แยกคนออกจากปัญหา  และแยกปัญหาออกจากการแก้ไข” โดยใช้ “อารมณ์” ส่วนตัวมาเป็นฐานในการเจรจา แทนที่จะใช้ “เหตุผล” มาเป็นฐาน  เมื่อไม่สามารถควบคุมเอาไว้ได้ จึงทำให้ “กรรมกรคนหนึ่ง ลุกขึ้นไปตบตีกรรมกรอีกคนหนึ่ง  แม้กรรมกรที่ถูกทุบตีนั้นก็ไปตีคนอื่น ๆ ต่อไปอีก”   จากเหตุการณ์ดังกล่าวนี้  ทำให้ความขัดแย้งได้ขยายตัวไปอย่างรวดเร็ว  จนไม่สามารถที่จะมีข้อสรุปในการประชุมร่วมกันระหว่างทาสและกรรมกรของแคว้นทั้งสองได้

             เมื่อกล่าวโดยสรุปแล้ว  ความขัดแย้งระหว่างแคว้นศากยะ และโกลิยะนั้น  เป็นความขัดแย้งที่ว่าด้วย “การแย่งชิงทรัพยากรน้ำ”  ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็ต้องการน้ำเช่นเดียวกัน  ประเด็นที่น่าสนใจก็คือว่า เมื่อความต้องการของแต่ละบุคคลมีมากกว่า แต่ทรัพยากรมีจำกัด  จึงมีความจำเป็นที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะต้องเสียสละ   หากไม่สามารถสนองตอบต่อความต้องการของบุคคล  หรือกลุ่มบุคคลได้อย่างเพียงพอแล้ว  เมื่อนั้น “ปรากฏการณ์ความขัดแย้ง” อันจะนำไปสู่ข้อพิพาท และความแตกแยกก็จะบังเกิดขึ้น   กรณีความขัดแย้งอันเนื่องมาจากน้ำของประชาชนในแคว้นทั้งสองก็มีลักษณะเช่นเดียวกัน

อ้างอิง:  https://www.gotoknow.org/posts/324527

ผู้สนใจดูเนื้อหาเพิ่มเติมจากวิทยานิพนธ์ของผู้เขียน

http://www.mcu.ac.th/site/thesisdetails.php?thesis=254818

แชร์