อย่าเข้าใจผิด การทำบุญไม่ใช่การให้ทานเพียงอย่างเดียว
คนเราสมัยนี้เข้าใจว่า การทำบุญก็คือการให้ทานเท่านั้น คนไม่รู้จักบุญ บุญไม่ใช่อย่างนั้น การละความชั่ว ละความผิดมันก็เป็นบุญแล้ว การรักษาศีล การเจริญภาวนา การฟังธรรมเทศนา ทำให้เกิดความเฉลียวฉลาดขึ้นมาเหล่านี้ก็ทำให้เกิดบุญขึ้นได้ http://winne.ws/n21104
การทำบุญไม่ใช่การทำทานอย่างเดียว การรักษาศีลและเจริญภาวนาก็เป็นการทำบุญด้วยเช่นกัน มาฟังธรรมะดี ๆจากหลวงปู่ชากันค่ะ
"การภาวนา คือ ทำให้เกิดขึ้นมีขึ้นที่ไม่รู้ทำให้มันรู้ ที่ไม่ดีทำให้มันดี ใจเป็นบาปเป็นกรรมทำให้เป็นบุญเป็นกุศล การสร้างบุญไม่ใช่ทำโดยการให้ทานอย่างเดียว การรักษาศีล การเจริญเมตตาภาวนา
การฟังธรรมเหล่านี้เป็นบุญทั้งหมด เป็นเหตุที่จะให้บุญเกิด บางคนจะทำบุญแต่ละที ก็คอยแต่จะให้มีเงินมากๆ เสียก่อน เลยไม่ได้ทำสักที เห็นคนอื่นทำก็ออนซอน กับท่าน คิดว่าเพิ่นบุญหลายหนอ
คนไม่รู้จักบุญ บุญไม่ใช่อย่างนั้น การละความชั่ว ละความผิดมันก็เป็นบุญแล้ว การรักษาศีล การเจริญภาวนา การฟังธรรมเทศนา ทำให้เกิดความเฉลียวฉลาดขึ้นมาเหล่านี้ก็ทำให้เกิดบุญขึ้นได้ แล้วคนเราสมัยนี้เข้าใจว่า การทำบุญก็คือการให้ทานเท่านั้น เพราะส่วนมากได้ยินพระท่านเทศน์ เรื่อง ทานบารมี ทานอุปบารมี ทานปรมัตถบารมี แต่ไม่ได้อธิบายให้เกิดความเข้าใจ
คนส่วนมากจึงมักเข้าใจกันว่า การทำบุญคือ การนำเอาสิ่งของไปถวายพระมากๆ คนยากจนก็เลยทำไม่ได้ เพราะไม่เข้าใจภาษาบาลีดังกล่าว
ความจริงเรื่องการให้ทานท่านแบ่งไว้ ๓ ระดับ คือ
๑.การเสียสละสิ่งของภายนอกจัดเป็นทานบารมี
๒.การสละอวัยวะจัดเป็นทานอุปบารมี
๓.การสละชีวิตจัดเป็นทานปรมัตถบามี
หรืออีกอย่างหนึ่งว่า ยอมเสียทรัพย์เพื่อรักษาอวัยวะ ยอมเสียอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต ยอมเสียชีวิตเพื่อรักษาธรรม เหล่านี้ถ้าเราเข้าใจก็ไม่มีปัญหา ไม่ว่าคนรวยคนจนก็สามารถทำบุญให้ทานได้
โดยเฉพาะทานที่ไม่ต้องสิ้นเปลืองทรัพย์สินเงินทองคือ “อภัยทาน” ซึ่งทุกคนสามารถทำได้ และทานชนิดนี้พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญด้วย ดังนั้นการสร้างคุณงามความดีมีอยู่หลายอย่าง ให้กันเข้าใจ บางคนคิดว่าการทำบุญให้ทานมีอานิสงส์ มากก็ทุ่มใส่จนหมดเนื้อหมดตัว ไม่รู้เรื่อง "
คงเข้าใจกันแล้วนะคะสำหรับการทำบุญให้ทาน
ซึ่งทำได้หลายทางหลายวิธีด้วยกันที่เรียกว่าบุญกิริยาวัตถุ 10 ประการ
บุญกิริยาวัตถุ 10 หมายถึง ที่ตั้งแห่งการกระทำความดี ๑๐ อย่าง หมายถึง กุศลจิตที่มีกำลังจนทำให้มีการกระทำออกมาทางกาย วาจาหรือทางใจ ได้แก่ ...
๑.ทานมัย บุญสำเร็จจากการให้วัตถุเพื่อสงเคราะห์หรือบูชาแก่ผู้อื่น
๒.ศีลมัย บุญสำเร็จจากการงดเว้นจากทุจริต หรือประพฤติสุจริตทางกาย วาจา
๓.ภาวนามัย บุญสำเร็จจากการอบรมจิตให้สงบจากกิเลส (สมถภาวนา) และการอบรมปัญญาเพื่อละกิเลสทั้งปวง(วิปัสสนาภาวนา)
๔.อปจายนมัย บุญสำเร็จจากการประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตน
๕.เวยยาวัจจมัย บุญสำเร็จจากการขวนขวายบำเพ็ญประโยชน์ต่อผู้อื่น
๖.ปัตติทานมัย บุญสำเร็จจากการให้ส่วนบุญที่ได้บำเพ็ญมาแล้ว
๗.ปัตตานุโมทนามัย บุญสำเร็จจากการยินดีในกุศลที่ผู้อื่นได้กระทำแล้ว
๘.ธัมมัสสวนมัย บุญสำเร็จจากการฟังพระสัทธรรม
๙.ธัมมเทสนามัย บุญสำเร็จจากการแสดงพระสัทธรรม
๑๐.ทิฏฐุชุกรรม การกระทำความเห็นให้ตรงถูกต้องตามความเป็นจริง
จะเห็นได้ว่าการทำบุญนั้นทำได้หลาย ๆ ทาง และทำได้หลายวิธีมีให้เลือก แม้ไม่มีเงินก็ทำได้
แต่ก็มีหลายท่าน นอกจากเข้าใจผิดคิดว่าการทำบุญคือการทำทานด้วยวัตถุสิ่งของหรือปัจจัยเพียงอย่างเดียว
บางคนแม้มีปัจจัยมากมายก็ไม่คิดทำทานเพราะความตระหนี่ครอบงำ จึงหาเหตุขัดขวางคนอื่นไม่ให้ทาน เช่น ชอบกล่าวว่าบุญอยู่ที่ใจ ไม่จำเป็นต้องทำทาน แค่ไม่คิดชั่วก็เป็นบุญ หรือชอบกล่าวว่าพระท่านต้องสันโดษ ต้องเคร่ง ฉันจะทำบุญกับพระป่าพระอรหันต์เท่านั้นเป็นต้น เพื่อตนจะไม่ต้องถวายทาน พูดเพื่อให้ตนดูดี พลอยถูกอกถูกใจคนตระหนี่พวกเดียวกัน แต่ก็ทำให้คนไม่รู้เรื่องพลอยเข้าใจผิดคิดว่าดี
ซึ่งคำพูดเหล่านี้สวนทางกับคำสอนในพระพุทธศาสนา ที่สอนให้ทำทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา ความดีทุกอย่างต้องทำและอนุโมทนาบุญ คือพลอยยินดีเมื่อผู้อื่นทำดี
คำสอนของหลวงปู่ชาท่านจึงสอนให้คนทำความดี อย่ามีข้ออ้างข้อแม้และเงื่อนไข แม้ไม่มีเงินก็ทำความดีอย่างอื่นได้ตามหลักบุญกิริยาวัตถุ 10 แม้ข้อใดข้อหนึ่งนี้ก็ถือว่าป็นบุญเช่นกัน
ขอบคุณข้อมูลจาก
เพจ คำคม ธรรมะ
ภาพจาก www.google.co.th