วัณโรคกระดูก สามารถเกิดได้กับคนทุกเพศ ทุกวัยในโอกาสเท่าๆกัน จากการสูดเอาละอองเสมหะของผู้ป่วยวัณโรคที่ ไอ จาม หายใจรดเข้าไป การติดจากหนองของผู้ป่วย การรับประทานอาหารโดยใช้ภาชนะร่วมกับผู้ป่วย  ดังนั้นกลุ่มเสี่ยงที่จะเป็นวัณโรคกระดูกได้ง่ายกว่าคนทั่วไปคือ ผู้ที่มีความใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ถูกสุขอนามัย ผู้ที่มีภาวะขาดสารอาหารที่ร่างกายต้องการ ผู้ที่ภูมิคุ้มกันหรือความต้านทานของร่างกายต่ำ เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้ป่วยที่เป็นโรคเอดส์ เป็นต้น

อาการของวัณโรคกระดูก

จะเริ่มจากการปวดเมื่อยตามตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก เมื่อผ่านไปหนึ่งเดือนอาการปวดจะเด่นชัดขึ้น อาจมีไข้ต่ำในช่วงบ่ายๆเย็นๆร่วมกับอาการเบื่ออาหาร น้ำหนักลด อาการปวดจะมากขึ้นเมื่อมีการทำงาน แม้แต่เวลาไอ จาม และจะปวดน้อยลงเมื่อได้พัก ถ้าเป็นเด็กอาจร้องไห้กวนเวลากลางคืน สีหน้าแสดงอาการวิตกกังวลเศร้าหมอง หากเชื้อวัณโรคเข้าไปยังกระดูกสันหลังส่วนเอว จะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกปวดหลังมากจนไม่สามารถยืนตรงได้ ก้าวเดินสั้นลง หากปล่อยไว้จนกระทั่งเชื้อเข้าไปทำลายกระดูกมากเข้าจะทำให้กระดูกยุบตัว หลังโก่งงอ มีหนองหรือเศษกระดูก หมอนรองกระดูกเลื่อน กรณีที่เชื้อเข้าไปทับเส้นประสาท จะทำให้ขาชา ปัสสาวะ อุจจาระลำบาก แขนขาอ่อนแรงบางรายอาจถึงขั้นเป็นอัมพาตที่ขาได้

ดังนั้นหากคุณมีอาการปวดหลังแม้จะกินยาแล้ว 1 สัปดาห์ ก็ยังไม่หาย ร่วมกับอาการต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้น ก็ควรจะมาพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยและรักษา  สำหรับการวินิจฉัยนั้นแพทย์จะตรวจดูด้วยเครื่องซีทีสแกน หรือ เอ็มอาร์ไอ เพื่อดูว่ามีหนอง และการทำลายกระดูกสันหลังหรือไม่ รวมทั้งไขสันหลัง และเส้นประสาท ถูกกดทับด้วยหรือไม่

ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการไม่มาก จะต้องรับประทานยารักษาวัณโรคอย่างต่อเนื่องประมาณ 1 ปี ร่วมกับการใส่อุปกรณ์ประคองหลังและการพักฟื้นก็สามารถหายได้ (ที่สำคัญคือห้ามหยุดยาเองเพราะจะทำให้เชื้อดื้อยาได้) สำหรับผู้ที่รักษาด้วยยาไม่ได้ผล กลับมาเป็นซ้ำ หรือมีอาการรุนแรง เช่น กระดูกผิดรูปไปมาก หรือแขนขาอ่อนแรงจากการถูกกดทับเส้นประสาท แพทย์จะใช้วิธีผ่าตัดระบายเอาหนองออก หรือผ่าตัดเพื่อเอากระดูกที่ติดเชื้อออกแล้วเชื่อมกระดูกสันหลังใหม่ หรือผ่าตัดใส่เหล็กดามกระดูกสันหลัง

วิธีป้องกันวัณโรคกระดูกสันหลัง

ทำได้โดยการลดความเสี่ยงในการเกิดโรค เช่น ใช้ผ้าหรือกระดาษปิดปากทุกครั้งเมื่อมีการไอหรือจามและทิ้งลงในถังขยะที่มีฝาปิดสนิท รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ หมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ดูแลที่อยู่อาศัยให้ถูกสุขลักษณะมีอากาศถ่ายเทสะดวก หากจำเป็นต้องใกล้ชิดหรือดูแลผู้ป่วยที่เป็นสมาชิกในบ้าน ก็ควรหมั่นไปตรวจสุขภาพเป็นระยะๆ

บทความโดย  BY RACHVIPA MRI IN

ขอบคุณ

  http://varietylife.live/archives/178