Kondo Marie 1 ใน 100 ผู้ทรงอิทธิพล บนปก Time Magazine ด้วยการจัดระเบียบบ้าน

ไม่น่าเชื่อ แค่การจัดระเบียบบ้าน ทำให้เธอได้ขึ้นปก Time Magazine ... มหัศจรรย์การจัดระเบียบ ความหลงใหลในการทำสิ่งที่รัก คือการจัดระเบียบ จนทำให้เธอผู้เป็นสาวออฟฟิศธรรมดา กลายมาเป็น 1 ใน 100 ผู้มีอิทธิพลของโลก http://winne.ws/n6100

606 ผู้เข้าชม
Kondo Marie 1 ใน 100 ผู้ทรงอิทธิพล บนปก Time Magazine ด้วยการจัดระเบียบบ้านขอบคุณภาพจาก www.fastcompany.com

ผู้หญิงคนนี้คือผู้หญิงญี่ปุ่นคนแรก 

ที่ได้รับเลือกเป็น "100 ผู้มีอิทธิพลของโลก" จัดอันดับโดย Times 

หญิงสาวญี่ปุ่นผู้สอนศาสตร์แห่งการจัดระเบียบไปทั่วโลก

จากสาวออฟฟิศธรรมดาๆ เมื่อ5ปีก่อน สู่ผู้หญิงผู้ทรงอิทธิพลร้อยคนของโลก 

"ชีวิตไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด แต่ต้องกล้าฝันและลงมือทำ"

โดยปกติแล้ว ถ้าในประเทศญี่ปุ่นเอง

คนที่ได้รับเลือกเป็นผู้ทรงอิทธิพลของโลกจาก Times 

แต่ก่อนมีแต่คนสำคัญของประเทศเช่น 

คุณ Shinzo Abe นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น 

คุณ Miyazaki Hayao ผู้่ก่อตั้งและเจ้าของสตูดิโอจิบลิ 

การ์ตูนญี่ปุ่นชื่อดังที่สร้างความฝันให้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่จนดังไปทั่วโลก 

สำหรับฝรั่งและคนประเทศอื่นๆ ที่ได้รับเลือกก็เช่น 

บารัค โอบาม่า ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา 

สตีฟ จ็อบส์ ผู้เปลี่ยนวงการไอทีด้วยไอโฟน 

ทุกคนที่ได้รับการคัดเลือกเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลกทั้งนั้น

ทำไมสาวน้อยหน้าตาน่ารักอย่างเธอ 

ถึงได้รับเลือกเป็นหนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลของโลก

คุณสงสัยมั้ยครับ?  กว่าจะมาถึงจุดนี้ เรื่องราวชีวิตของเธอค่อนข้างน่าสนใจ

ค่อยๆ ติดตามกันไปนะครับ 

Kondo Marie 1 ใน 100 ผู้ทรงอิทธิพล บนปก Time Magazine ด้วยการจัดระเบียบบ้านขอบคุณภาพจาก www.ladyalicelux.com

คีย์เวิร์ดของความสำเร็จของเธอคือ 

"หลงรักจับใจในศาสตร์ของการจัดระเบียบ และมีความสุขทุกครั้งที่ได้ลงมือทำ"


Kondo Marie (คอนโดะ มาริเอะ) 

(ต่อไปนี้ผมจะเรียกเธอว่า คอนมาริ) 

เริ่มสนใจเรื่องการจัดระเบียบ ตั้งแต่วัยอนุบาล 

ตอนที่เธอยังมีอายุเพียง 5 ขวบ เธอรู้สึกตื่นเต้น 

และเฝ้ารอที่จะอ่านนิตยสารเล่มนึงที่จะถูกส่งมาที่บ้านในทุกๆสัปดาห์

แล้วคอลัมน์ที่เธอเปิดอ่านเป็นประจำคือคอลัมน์ "วิธีจัดระเบียบบ้าน"

แม้ยังอ่านตัวอักษรใดๆ ไม่ออกก็ตาม


เธอได้ค้นคว้าเกี่ยวกับการจัดระเบียบบ้านอย่างจริงจังอีกครั้ง

หลังจากได้เจอหนังสือเล่มหนึ่งที่วางขายในตลาดชื่อว่า 

"เทคนิคแห่งการทิ้ง 捨てる技術" ตอนเธออยู่ชั้นมัธยมต้น

หนังสือเล่มนี้ได้จุดประกายความหลงใหล ในเรื่องการจัดระเบียบบ้านในตัวเธออีกครั้ง

ตั้งแต่นั้นมาเธอเริ่มกว้านหาหนังสือ

และค้นคว้าทุกแหล่งความรู้เรื่องการจัดระเบียบที่มีในญี่ปุ่นทั้งหมด

ไม่มีหนังสือเล่มไหนพ้นสายตาเธอไปได้ 

และที่สำคัญไปยิ่งกว่านั้นคือ …

ทุกวันเธอ ลงมือปฏิบัติจริงๆ จังๆ กับการจัดระเบียบ

เริ่มจากห้องของเธอเอง ตามด้วยห้องพี่ชาย ห้องน้องสาว 

ห้องต่างๆ ในบ้าน เช่นห้องครัว ห้องน้ำ ห้องของเพื่อนสนิท ห้องเรียนที่โรงเรียน 

ทุกลมหายใจของเธอคือ ความสุขจากการได้จัดระเบียบสิ่งรอบตัว

ตอนแรกเธอก็ไล่ทิ้งสิ่งของที่ไม่จำเป็น ทั้งของตัวเองและของครอบครัวไปหมด

ทิ้งทุกอย่างที่ขวางหน้ารวมถึงของๆ คนอื่นด้วย  

จนพ่อแม่ต้องออกคำสั่งห้าม "ไม่ให้จัดระเบียบบ้าน" อีก

จนวันนึงก็คิดได้ว่าพื้นฐานของการจัดระเบียบที่ดี 

"ไม่ใช่การทิ้ง แต่ให้พิจารณาเลือกสิ่งของที่

เราอยากเก็บให้อยู่กับเราต่อไป อันไหนที่ไม่ได้ใช่ค่อยทิ้ง"

ตอนที่เธออยู่ ม.ปลายเธอก็มีโอกาสได้ทำงานพิเศษเป็น "มิโกะ" 

หรือสาวผู้ทำงานเป็นสื่อกลางให้พระเจ้าที่ศาลเจ้า

ทำให้เธอก็ได้เรียนรู้ศาสตร์แห่งการขอบคุณต่อสิ่งของ

เพราะสิ่งของที่คนเอามาไหว้นั้นเราจะมองว่าเค้ามีชีวิต 

คอนมาริก็เลยนำความรู้สึก "ปรารถนาดีและขอบคุณต่อสิ่งของ" นี้

มาใช้ในการจัดระเบียบบ้านด้วย นั่นทำให้เราสามารถทิ้งสิ่งของได้ง่ายขึ้น

 เพราะเราสามารถลาขาดจากสิ่งของนั้นๆได้  ด้วยการรู้คุณค่าของมัน

 และกล่าวขอบคุณที่ของชิ้นนั้นที่สร้างประโยชน์ให้เรามา

เธอเริ่มเป็นที่ปรึกษาในเรื่องการจัดระเบียบตั้งแต่สมัยมหาวิทยาลัย

และก็เขียนวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นเดียวกัน เรืยกว่า หลงใหลจับใจ

อย่างที่ตัวเธอเองบอกกับคนหลายๆคนว่า  จะเรียกเธอว่า "ผู้คลั่งใคล้การจัดระเบียบ" ก็ได้


เมื่อจบมหาวิทยาลัยเธอได้เข้าทำงานในบริษัทจัดจ้างหางาน

ระหว่างทำงานเธอก็ได้มีโอกาสจัดระเบียบโต๊ะทำงานให้ลูกค้า

โดยเธอเสนอทำให้ฟรี เพราะใจรัก จนกลายเป็นที่เลื่องลือในหมู่ลูกค้า

ทำให้เธอตัดสินใจลาออกจากสาวออฟฟิศมาเป็นที่ปรึกษาการจัดระเบียบบ้าน

เพื่อที่จะได้ทำงานที่รักอย่างเต็มตัว 

ช่วงที่ลาออกมาจากบริษัทแรกๆ  พยายามเปิดคอร์สสอนจัดระเบียบบ้าน

แทบไม่มีคนสนใจศาสตร์แห่งการจัดระเบียบเลยครับ 

...คอร์สแรกที่เปิดสอนก็มีเพียงแค่สองคนเท่านั้น

แต่สิ่งที่เปลี่ยนเธอไปตลอดกาลคือ คำๆ หนึ่งที่เธอนึกได้ระหว่างที่ให้คำปรึกษากับลูกค้าอยู่

คือคำว่า "Tokimeku" ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Spark Joy

คำนี้ใช้เพื่อพิจารณาว่าของสิ่งนั้นๆทำให้เรามีความสุขหรือประทับใจอยู่หรือไม่

นี่คือคำที่สร้างทัศนคติบวกเกี่ยวกับการจัดระเบียบสิ่งของ

เปลี่ยนความคิดเดิมๆ ว่า "จะทิ้งอะไรดี" เป็น 

"อยากอยู่กับของชิ้นไหนไปตลอด"

Kondo Marie 1 ใน 100 ผู้ทรงอิทธิพล บนปก Time Magazine ด้วยการจัดระเบียบบ้านขอบคุณภาพจาก https://www.facebook.com/JapanSalaryman

แล้วคำนี้ก็ได้ผลครับ  คอนมาริเริ่มเขียนหนังสือซึ่งมาจากคำแนะนำของลูกค้า 

ว่าอยากอ่านเทคนิคการจัดระเบียบของคอนมารีในรูปแบบหนังสือ

แล้วหนังสือเล่มนั้นก็กลายเป็นหนังสือ Bestseller ขายได้ถล่มทลายเป็นประวัติการณ์

เพราะวิธีคิด และ How to เรื่องการจัดระเบียบของเธอ 

ที่สามารถเอาหลักในหนังสือไปใช้ได้ทันที เห็นผลจริง 

ด้วยความร่วมมือและคำแนะนำของสำนักพิมพ์ 

หนังสือของเธอได้กลายเป็นเครื่องมือติดบ้านของทุกครอบครัว 

หนังสือของเธอได้รับการแนะนำออกรายการทีวี 

ฮิตขนาดขายได้เป็นแสนเล่มภายใน 1 เดือน 

ได้รับการแปลและพิมพ์ขายหลายประเทศทั่วโลก 

เช่น ไต้หวัน เกาหลี จีน เยอรมัน ฯลฯ

..ติดอันดับต้นๆ Bestseller ของแต่ละประเทศ 

..จนเธอได้รับเลือกให้ตีพิมพ์ที่อเมริกาเป็นเล่มแรก

ของหนังสือในหมวด How-to สำหรับชีวิตประจำวัน

..หนังสือพิมพ์ The New York Times เอาไปเขียนเป็นข่าวใหญ่โต

จนฮิตไปทั่วประเทศ ขายได้ถึง 780,000 เล่มด้วยเวลาครึ่งปีในอเมริกา 

..สำนักงานข่าวAP ลงข่าวไปทั่วโลก 

...หนังสือของเธอได้เปลี่ยนพฤติกรรมการจัดระเบียบบ้านของคนเป็นจำนวนมาก

จนคนยกย่องว่าเธอคือผู้มีอิทธิพลต่อชีวิตของพวกเค้าคนนึง

.

ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ระหว่างที่ได้ดูรายการ 

ผมน้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว ขณะที่ผมเรียบเรียงเรื่องนี้ผมได้สัมผัส

ถึงความพยายามของผู้หญิงคนนึง ที่หลงใหลคลั่งใคล้ในสิ่งที่ทำอยู่ 

และพยายามกระจายความรู้ที่มีไปถึงคนให้มากที่สุด

ขนาดตอนเธอได้รับเชิญไปพูดที่ Google  

เธอยังพยายามใช้ภาษาอังกฤษเพื่อสื่อสารกับคนฟังเลย  เรียกได้ว่า จากใจถึงใจ 

ถ้าคุณอ่านมาถึงตรงนี้คุณอาจจะรู้สึกว่า

"ความหลงใหล" ในสิ่งที่รัก และลงมือทำ น่าจะเป็นเคล็ดลับแห่งความสำเร็จ


ใช่ครับ..เพียงแต่ว่า ตอนนี้คุณเจอสิ่งที่หลงใหล แล้วลงมือทำอย่างจริงจังหรือยัง? 

ถ้ายัง..รีบตามหา แล้วลงมือทำ  

ผมเป็นกำลังใจให้เช่นเคยครับ


ขอบคุณแหล่งที่มา : www.facebook.com/JapanSalaryman

แชร์